posttoday

มจร อบรมพระธรรมทูตให้เข้มในแดนพุทธภูมิ

30 มีนาคม 2557

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) จัดส่งพระธรรมทูตรุ่นที่ 20

โดย...สมาน สุดโต

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) จัดส่งพระธรรมทูตรุ่นที่ 20 เข้าศึกษาและปฏิบัติงานในแดนพุทธภูมิเป็นเวลา 15 วัน เพื่อให้มีความเข้มแข็ง และมีความพร้อมทางด้านจิตวิญญาณ เพื่อตามรอยบาทพระพุทธองค์ ในการเผยแผ่พระธรรมคำสอน

สมหมาย สุภาษิต รองผู้อำนวยการ สำนักงานบริหารสำนักส่งเสริมฯ มจร รายงานจากวัดไทยพุทธคยา รัฐพิหาร สาธาณรัฐอินเดีย เมื่อวันที่ 23 มี.ค. 2557 ว่า พระเทพโพธิวิเทศ หัวหน้าพระธรรมทูตสายอินเดียเนปาล เป็นประธานเปิดภาคปฏิบัติ นมัสการสังเวชนียสถานและดูงานพระธรรมทูตสายต่างประเทศ ณ อินเดียเนปาล ของโครงการอบรมพระธรรมทูตสายต่างประเทศ รุ่นที่ 20 เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ณ สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย วัดไทยพุทธคยา รัฐพิหาร สาธารณรัฐอินเดีย โดยมีผู้บริหารคณาจารย์เจ้าหน้าที่ผู้ทรงคุณวุฒิและพระธรรมทูตสายต่างประเทศ จาก มจร กว่า 100 รูป/คน ร่วมในพิธีเปิดกิจกรรมดังกล่าว

พระเทพโพธิวิเทศ กล่าวว่า “การที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้นำพระธรรมทูตสายต่างประเทศมานมัสการพุทธสังเวชนียสถานยังประเทศอินเดียเนปาล ถือเป็นวิสัยทัศน์ที่น่าชื่นชม และแสดงถึงภาวะความเป็นผู้นำด้านพระพุทธศาสนาในฐานะผู้จัดการศึกษาที่ได้รับสนองงานสืบต่อจากสมเด็จพระพุฒาจารย์ อดีตประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ในฐานะอดีตประธานกำกับดูแลพระธรรมทูตสายต่างประเทศ ทำให้งานพระธรรมทูตมีความต่อเนื่องอยู่เท่าทุกวันนี้

ปัจจุบันนี้ งานพระธรรมทูตได้ขยายตัวขึ้นอย่างมากมาย จึงจำเป็นต้องมีการเตรียมพร้อมของบุคลากรที่ทำหน้าที่ในการเผยแผ่และประกาศพระพุทธศาสนา แม้แต่พระพุทธองค์เมื่อได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระพุทธองค์ยังต้องเตรียมพร้อมก่อนการประกาศพระพุทธศาสนาโดยเสวยวิมุตติสุขหลังจากตรัสรู้อันถือเป็นการเตรียมพร้อมก่อนการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

มจร อบรมพระธรรมทูตให้เข้มในแดนพุทธภูมิ

 

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้แสดงออกถึงความเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ จากการคัดเลือกพระธรรมทูตเข้ารับการฝึกอบรมจากการอบรมที่ประเทศไทยอย่างเดียวมาเป็นการยกระดับการอบรมพระธรรมทูตขึ้น โดยนำมาศึกษาดูงานและนมัสการพุทธสังเวชนียสถานเพื่อสร้างศรัทธาที่มั่นคงต่อพระพุทธศาสนา งานพระธรรมทูตเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ ถ้าไม่ใช่งานใหญ่พระพุทธเจ้าจะไม่ทรงจับด้วยพระองค์เอง สอนเอง ตั้งเอง และส่งไปประกาศพระพุทธศาสนาเอง”

“พระธรรมทูตที่จะออกไปสู่นานาอารยประเทศ ความพร้อมต้องเป็นหนึ่ง ความพร้อมต้องเป็นเลิศ ต้องเกิดจากฝีมือของนักทำงานชั้นยอด ก่อนที่จะออกไปสู่โลกของความเจริญ ถ้าเราจะออกไปสู่โลกของความเจริญทางด้านวัตถุ เราไม่มีความเจริญทางด้านจิตวิญญาณ จงอย่าห้าวหาญในการก้าวย่างไป เพราะจะกลายเป็นเหยื่อของโลกวัตถุนิยม

การที่นำพระธรรมทูตมายังประเทศที่เป็นดินแดนเกิดของพระธรรมทูตเป็นเรือนเพาะชำเป็นที่ปลูกฝังงานของพระธรรมทูตก่อน โดยมาเริ่มต้นที่พุทธคยาและเดินทางไปยังบ่อเพาะชำ สถานที่อบรมสถานที่เตรียมความพร้อมตามรอยบาทพระศาสดา

งานพระธรรมทูตเป็นงานของผู้อยากทำและต้องทำด้วยความเสียสละ เสียสละแม้กระทั่งชีวิตต้องทำงานตามคำสอนมากกว่าคำสั่ง คำสอนยิ่งใหญ่กว่าคำสั่งและเมื่อมายังดินแดนพุทธภูมิแล้วก็อย่าตั้งข้อสงสัย หรือยึดติดอยู่เพียงสิ่งที่พบเห็น ไม่ว่าจะเป็นขอทาน วัว ถนน และผู้คนที่หลากหลาย ให้มองทะลุไปถึงบทบาทที่สำคัญของพระธรรมทูตที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ ปัจจุบันยังคงมีความยากลำบากขนาดนี้ เมื่อ 2500 ปีที่ผ่านมา สมัยพุทธกาล จะมีความยากลำบากมากน้อยเพียงใด แต่พระพุทธองค์ก็ทรงประกาศพระพุทธศาสนาวางรากฐานทางด้านพระพุทธศาสนาไว้กระทั่งถึงปัจจุบัน” พระเทพโพธิวิเทศ กล่าว

พระโสภณวชิราภรณ์ รองอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้สนองงานโครงการอบรมพระธรรมทูตสายต่างประเทศจากสมเด็จพระพุฒาจารย์ และดำเนินการจนถึงปัจจุบันเป็นรุ่นที่ 20 แล้ว และได้ขยายแนวทางการฝึกอบรมจากที่อยู่เฉพาะในประเทศไทย และได้นำพระธรรมทูตมาสู่ดินแดนพุทธภูมิ อันเป็นจุดกำเนิดของพระพุทธศาสนา

มจร อบรมพระธรรมทูตให้เข้มในแดนพุทธภูมิ

 

นอกจากการฝึกอบรมภาควิชาการ ภาควิปัสสนากัมมัฏฐานแล้ว ยังมีภาคปฏิบัติซึ่งประกอบด้วยการฝึกภาคนวกรรม หรือการก่อสร้างที่พระธรรมทูตต้องเรียนรู้ กิจกรรมสาธารณูปการ ฝึกการปฏิบัติงานการก่อสร้าง และงานพุทธเกษตรสาธิต เป็นเวลา 20 วัน เพื่อฝึกการทำงานเป็นทีม การวางแผน การตัดสินใจ และจิตอาสา จัดอบรม งานสร้างอาคารปฏิบัติธรรม ณ วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย และสร้างกุฏิ ณ ศูนย์พัฒนาศาสนา (แคมป์สน) จ.เพชรบูรณ์ และบูรณปฏิสังขรณ์อาคารสถานที่ที่ชำรุดทรุดโทรมอื่นๆ

ท่านเจ้าคุณรองอธิการบดี กล่าวต่อไปว่า การเดินทางมาสู่ดินแดนพุทธภูมิ จะทำให้พระธรรมทูตได้รู้เห็นถึงประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ได้เห็นพุทธสังเวชนียสถานที่แท้จริง อันจะเป็นการสร้างศรัทธาที่มั่นคงต่อพระพุทธศาสนา

การเดินทางมาสู่ดินแดนพุทธภูมินี้ ระหว่างวันที่ 22 มี.ค.-5 เม.ย. 2557 ก่อนที่จะเดินทางกลับไปยังประเทศไทยเพื่อฝึกอบรมด้านวิชาการเป็นเวลา 20 วัน ซึ่งเป็นกิจกรรมการบรรยาย อภิปราย ซักถาม การประชุมกลุ่มย่อย การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การมอบหมายงานให้ศึกษาค้นคว้า การฝึกปฏิบัติ และการประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง

ส่วนการอบรม ณ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เพื่อเพิ่มพูนฝึกทักษะและประสบการณ์ในการทำงานเป็นทีม การบริหารจัดการ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า สร้างทักษะ การมีมนุษยสัมพันธ์ การมีจิตอาสา มีศรัทธาในงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา รวมทั้งการปฏิบัติงานปฏิคมในงานศูนย์พุทธวิปัสสนานานาชาติ งานสัมมนาพระธรรมทูตไทยในต่างประเทศ งานปฏิคมต่างประเทศในงานวันวิสาขบูชาโลก ประจำปี 2557 และพิธีประสาทปริญญา เป็นเวลา 10 วัน และภาควิปัสสนากัมมัฏฐานตามหลักสติปัฏฐาน 4 เป็นเวลา 30 วัน ณ ฝ่ายพัฒนาศาสนา (แคมป์สน) จ.เพชรบูรณ์

และจะประกอบพิธีมอบวุฒิบัตรและปิดโครงการในวันที่ 1 มิ.ย. 2557 โดยสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช รวมระยะเวลาการฝึกอบรมทั้งสิ้น 3 เดือน”

“อินเดียถือว่าเป็นประเทศของนักวิจัย และเมื่อวิจัยแล้วก็นำผลของการวิจัยส่งออกไปยังประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทย โดยเฉพาะพระพุทธเจ้าที่ทำวิจัยอยู่กว่า 6 ปี กระทั่งบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและส่งออกพระพุทธศาสนาไปทั่วโลก การฝึกอบรมพระธรรมทูตจึงจำเป็นต้องมาศึกษาเชิงลึกเพื่อนำผลนี้ไปเผยแผ่ต่อไป” รองอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศ มจร กล่าวในที่สุด

ขณะที่ มีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานรัฐสภา ได้บรรยายถวายความรู้แก่พระธรรมทูตในภาคกลางคืน โดยเน้นย้ำให้พระธรรมทูตตระหนักถึงแนวทางการปฏิบัติ เพราะพระธรรมทูตต้องรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม เมื่อเดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังประเทศต่างๆ นอกจากต้องปฏิบัติตามหลักพระธรรมวินัยแล้ว ยังต้องปฏิบัติตามหลักกฎหมายของประเทศนั้นๆ ด้วย ดังนั้น จึงต้องตระหนักถึงแนวทางการปฏิบัติ อย่าหลงไปตามกระแสวัตถุนิยมของประเทศนั้นๆ ต้องมีจิตวิญญาณของความเป็นสงฆ์ตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ตลอดอย่าพลั้งเผลอ

สำหรับผู้ประสงค์ร่วมสนับสนุนโครงการฯ ติดต่อสอบถามได้ที่กองวิเทศสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โทร. 035-248-071