posttoday

กล้าที่จะเปลี่ยน...สู่หมออาชีวเวชศาสตร์

29 มีนาคม 2557

คนจำนวนไม่น้อยเมื่อรู้สึกเบื่อหน่ายงาน ก็มักจะทนทำงานที่จำเจต่อไป เพราะลืมมองหาทางเลือกอื่น

โดย...พรสวรรค์ นันทะ


คนจำนวนไม่น้อยเมื่อรู้สึกเบื่อหน่ายงาน ก็มักจะทนทำงานที่จำเจต่อไป เพราะลืมมองหาทางเลือกอื่น แต่สำหรับ คุณหมอเบนซ์ หรือ “อรพรรณ ชัยมณี” เลือกที่จะเปลี่ยนแปลง หรือChange เพื่อให้ได้ผลรับใหม่ที่ดีกว่าเก่า

เมื่อตัดสินใจลาออกจากอาชีพแพทย์ที่สู้อุตส่าห์ร่ำเรียนมานานถึง 6 ปี ก่อนจะได้มาทำงานในโรงพยาบาลประจำอำเภอ ที่เธอรู้สึกเบื่อเพราะมีหน้าที่เพียงจ่ายยารักษาโรคเดิมๆ ที่จำเจเพียงไม่กี่อย่างไปวันๆ

เธอจึงหันมาเริ่มต้นนับหนึ่งเรียนใหม่ แถมเลือกเรียนแพทย์แขนงใหม่ ที่เรียกกันว่า “แพทย์อาชีวเวชศาสตร์” ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ของการแพทย์ในประเทศไทย เพื่อเธอจะเปลี่ยนตัวเองจากการเป็นแพทย์ที่รักษาอาการป่วยที่ปลายเหตุ รักษาคนไข้ได้วันละประมาณ 3040 คนต่อวัน มาเป็นแพทย์ที่มีส่วนร่วมในการป้องกันและรักษาโรคของคนทำงานได้ตั้งแต่ต้นน้ำ สามารถช่วยคนไม่ให้ป่วยได้จำนวนมากกว่า

ทั้งนี้ อาชีวเวชศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของงานอาชีวอนามัย กล่าวคือ อาชีวอนามัย (Occupational Health) หมายถึง การดูแลสุขภาพอนามัยของคนทำงาน ซึ่งผู้ดำเนินการ คือ ผู้มีความรู้ทางด้านสาธารณสุขจากสาขาวิชาชีพใดก็ตาม แต่อาชีวเวชศาสตร์มีความหมายเฉพาะลงไป เพราะการดูแลรักษาสุขภาพของคนทำงานต้องใช้ศาสตร์ทางด้านการแพทย์ และดำเนินการโดยแพทย์เท่านั้น

อย่างไรก็ดี แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ยังขาดแคลน เพราะแต่ละปีรับได้น้อยไม่ถึง 10 ตำแหน่ง เนื่องจากต้องจำกัดแพทย์ที่จะมาเรียนตามจำนวนอาจารย์ผู้สอนที่มีน้อย ทำให้แพทย์ด้านนี้สวนทางกับจำนวนแรงงานที่มีจำนวนมากตามปริมาณโรงงานที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด เพราะประเทศไทยยังเป็นฐานการผลิตที่สำคัญ

กล้าที่จะเปลี่ยน...สู่หมออาชีวเวชศาสตร์

 

หมอเบนซ์ เล่าว่า “อาชีวเวชศาสตร์” เป็นการรักษาโรคจากการประกอบอาชีพจากการทำงาน ที่เน้นการวินิจฉัยและป้องกัน เช่น ทำงานในที่เสียงดังก็จะหูตึง ยกของแล้วปวดหลัง ศาสตร์นี้เพิ่งเข้ามาในไทยประมาณ 10 กว่าปี แต่คนเริ่มรู้จักมากขึ้นและยอมรับว่าโรคจากการทำงานต้องได้รับการแก้ไข โดยโรคจากการทำงานถึงจะใช้เงินจากกองทุนประกันสังคมไม่ได้ แต่แรงงานสามารถใช้เงินจากกองทุนเงินทดแทนได้ ซึ่งกองทุนจะจ่ายเงินทดแทนและจ่ายเงินชดเชยให้คนทำงานที่ป่วย หากนายจ้างจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ที่ใช้ได้กรณีเจ็บป่วยจากโรคทั่วไป และกองทุนเงินทดแทนที่จ่ายสมทบจะใช้ได้หากเกิดโรคจากการทำงาน

หากแรงงานรู้สาเหตุของโรคที่เป็นบ่อยๆ หรือโรคที่รักษาหายแล้ว แต่สักพักก็กลับมาเป็นอีก ว่าเป็นโรคที่เกิดจากการทำงาน ก็สามารถใช้สิทธิการรักษาโรคที่เกิดจากการทำงานในกองทุนเงินทดแทนที่นายจ้างจ่ายสมทบไว้ได้

หมอเบนซ์ เล่าถึงตัวเองว่า เลือกเรียนหมอ เพราะครอบครัวอยากให้รับราชการ เป็นข้าราชการหมดทั้งบ้าน คุณพ่อ “บุญพบ ชัยมณี” เป็นครูสอนคณิตศาสตร์ที่โรงเรียนมัธยมที่ จ.นครนายก บ้านเกิด ส่วนแม่ “พรรณี วรพาณิชย์” เป็นพยาบาลในโรงพยาบาล จ.นครนายก เช่นกัน ขณะที่น้องชาย “ทรงพจน์ ชัยมณี” ก็เป็นคุณหมอ ครอบครัวอยากให้รับราชการ เพราะรู้สึกมั่นคง หลังเรียนหมอ 6 ปีจบก็เลือกไปใช้ทุนที่โรงพยาบาลแถวบ้าน 3 ปี รู้สึกเบื่องานที่ทำ แต่ละวันก็จ่ายยาโรคเดิมๆ ให้คนไข้วันละ 3040 คน

ดังนั้น พอใช้ทุนครบ 3 ปีแล้วเลยมองหางานใหม่ทำ ยอมรับว่าตัวเองชอบลองอะไรใหม่ๆ ชอบความท้าทาย จึงเบื่อเส้นทางนี้ บวกกับมองอนาคตตัวเองว่าถึงอยู่ต่อไปก็คงไม่รุ่ง และคงไม่สามารถพัฒนาตัวเองในทางนี้ได้แล้ว ถ้าอยู่แบบนี้ต่อไปคงต้องอยู่ไปจนเกษียณ จึงเริ่มเบนเข็ม พอใช้ทุนครบก็ลาออกจากหมอมาเรียนเวชศาสตร์เพิ่มอีก 3 ปี หลังเรียนจบได้ทำงานก็สนุกกับมัน เพราะเป็นเรื่องใหม่ จึงมีอะไรให้ทำและเรียนรู้มาก ตั้งแต่ทำงานด้านนี้มายังไม่รู้สึกเบื่อ เพราะงานที่ทำต้องทำทั้งงานรักษา งานป้องกัน รวมถึงงานบริหาร ซึ่งต้องติดต่อกับเจ้าของธุรกิจพูดคุยให้เขาเห็นความสำคัญของการป้องกันโรคจากการทำงาน ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการพูดคุยเพื่อให้ความร่วมมือ

ปัจจุบันเป็นพนักงานลูกจ้าง สังกัดกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และยังทำงานด้านเวชศาสตร์ ที่โรงพยาบาลนพรัตน์ ซึ่งเป็นศูนย์การแพทย์เฉพาะทางด้านอาชีวเวชศาสตร์ และเป็นอาจารย์สอนอาชีวเวชศาสตร์ไปด้วย

เธอบอกอีกว่า ก่อนจะมีแพทย์เวชศาสตร์ คนงานไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคจากการทำงาน จึงทำงานไปเรื่อยๆ ป่วยก็รักษาแล้วมาเป็นอีก กระทั่งทำงานต่อไม่ไหวหรือเจ็บป่วยจนต้องไปโรงพยาบาล แต่พอเราแนะนำตั้งแต่ต้นทางให้เขารักษาสุขภาพ และการป้องกันโรคจากงานที่ทำอยู่ ปัญหาโรคเรื้อรังจากการทำงานก็ค่อยๆ ลดลง

อย่างเช่น แต่ก่อนคนไม่รู้ว่าปวดหลังจากอะไร หมอก็ไม่ได้มุ่งถามถึงต้นตอการเกิดโรค หรือซักถามถึงอาชีพ แต่รักษาตามอาการ เพราะคนไข้เองก็แค่อยากได้ยาไปกินแล้วกลับไปทำงานต่อ ไม่ได้อยากรู้ว่าต้องแก้ไขอย่างไร เพราะคนส่วนใหญ่เข้าใจว่าที่เป็นแก้ไขไม่ได้ ทั้งที่จริงๆ อาการเหล่านี้เกิดจากการทำงาน

สำหรับงานเวชศาสตร์ที่ต้องลงไปในพื้นที่โรงงานเพื่อไปหาวิธีแก้ที่ต้นเหตุ เช่น ตรวจและระบุให้ได้ว่าสารเคมีตัวไหนที่ทำให้พนักงานส่วนใหญ่เกิดอาการแพ้ ซึ่งต้องคุยกับเจ้าของกิจการด้วยว่าเปลี่ยนสารเคมีได้หรือไม่ หรือถ้าเปลี่ยนไม่ได้จะป้องกันได้หรือไม่ ใส่หน้ากากได้ไหม หรือกรณีเสียงดังต้องดูว่าแก้ไขเครื่องจักรได้อย่างไร ใส่ที่อุดหูได้หรือไม่ เป็นต้น วิธีการป้องกันตั้งแต่ต้นตอเช่นนี้ ปัจจุบันโรงงานขนาดใหญ่ให้ความสำคัญด้านเวชศาสตร์มากขึ้นแล้ว แต่โรงงานเล็กๆ ทั่วไปที่ยังเข้าไม่ถึงยังมีอยู่อีกมาก เช่น โรงงานในธุรกิจเอสเอ็มอี และยังมีปัญหาแรงงานนอกระบบ หรือการทำงานในภาคเกษตร ไม่ว่าทำนา ทำสวน ที่มีการป่วยจากการแพ้ยา สารเคมี ปวดหลังที่ต้องก้มเพิ่มขึ้น

“การกล้าเปลี่ยนแนวทางในการทำงานใหม่ ไม่ได้มีไอดอล และไม่ได้เอาตัวเงินหรือผลตอบแทนเป็นตัวตั้ง เพราะถึงครอบครัวจะไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็ไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน หมอเปลี่ยนเพราะตัวเอง ครอบครัวรับราชการหมด ด้วยเหตุนี้เวลามองเห็นตัวเองและครอบครัวแล้วมันทำให้ดูเท่าเดิม มันยังไม่ใช่ อยากทำอะไรที่ก้าวหน้าเหมือนเพื่อนๆ ในสายอาชีพอื่นที่เริ่มเติบโตกันไปก่อนแล้ว แม้พ่อแม่จะแฮปปี้ที่ลูกเป็นหมอในโรงพยาบาลชุมชน อาจจะได้เป็นผู้อำนวยการในอนาคต แต่กลับตัวเองมันรู้สึกอยู่นิ่งไม่ได้ เบื่องานรูทีนเลต้องเปลี่ยน และพอมาทำงานก็อยากเปลี่ยนทัศนคติของคนให้เข้าใจโรคจากการทำงานมากขึ้น ว่ามันป้องกันแก้ไขช่วยคนไม่ให้เจ็บป่วยได้ หากเราใส่ใจและให้ความสำคัญกับการป้องกัน อยากให้เจ้าของธุรกิจเข้าใจแรงงานและอยากให้แรงงานเข้าใจและเรียนรู้วิธีและหลักการป้องกัน เพราะถ้าคนงานมีสุขภาพดี ผลผลิตก็ย่อมออกมาดี วินๆ ได้ประโยชน์ทั้งนายจ้างและลูกจ้าง ถ้าเราช่วยสร้างความเข้าใจส่วนนี้ได้จะเป็นประโยชน์อีกมาก” หมอเบนซ์ อธิบายต้นตอการเปลี่ยนเส้นทางเดิน

นอกจากนี้ หมอเบนซ์ยังอยู่ระหว่างการทำแผนป้องกันโรคพิษตะกั่วในโรงงานผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ ที่ทำเกี่ยวกับการตรวจตะกั่วในเลือดให้พนักงานและลดระดับตะกั่วในเลือด เพราะตะกั่วหากสะสมมากไปจะเป็นปัญหาต่อรับประสาท ไตวาย เม็ดเลือดผิดปกติ แต่คนงานส่วนใหญ่ยังไม่ทราบข้อมูลเหล่านี้ เพราะถึงจะสัมผัสแล้วก็ยังทำงานได้อยู่ กระทั่งมาวันหนึ่งป่วยไปไม่รู้ตัว หมอจงอยากทำเรื่องนี้

และก่อนจบการสนทนา หมอเบนซ์แอบกระซิบความในใจว่า ที่เลือกมาทำงานป้องกัน เพราะในใจคิดว่า ถ้าคนไม่ป่วยตั้งแต่ในวัยทำงานอายุจะยืนอยู่กับลูกกับหลานได้นานๆ ไม่เป็นภาระลูกหลานด้วย เพราะตอนที่อยู่โรงพยาบาลชุมชน เวลามีผู้สูงอายุป่วย คนวัยแรงงานที่เป็นลูกหลานต้องหยุดงานพาไปโรงพยาบาล ซึ่งกระทบเสียรายได้ แต่ถ้าเราช่วยสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง คนไทยจะเป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพ ลูกหลานทำงานได้โดยไม่ห่วง น่าจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจประเทศ เพราะลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคผู้สูงอายุได้ค่อนข้างมาก ฉะนั้น หากช่วยกันป้องกันโรคที่ไม่ควรเกิดได้ก็น่าจะช่วยประหยัดงบประมาณของประเทศชาติได้ไม่น้อยทีเดียว

ข่าวล่าสุด

Sponge City Tourism เมื่อเมืองเลิกสู้กับน้ำ แล้วหันมา “อยู่ร่วมกับมัน”