posttoday

ทราบแล้วเปลี่ยน...สู่วิถี ทีวีดิจิตอล

15 กุมภาพันธ์ 2557

ในอีกเดือนเศษสื่อโทรทัศน์ไทยจะถึงเวลาพลิกโฉมครั้งใหญ่

โดย...ณัฐวรรณ ฉลองขวัญ/จะเรียม สำรวจ/นันทิยา วรเพชรายุทธ

ในอีกเดือนเศษสื่อโทรทัศน์ไทยจะถึงเวลาพลิกโฉมครั้งใหญ่ ด้วยการเปลี่ยนผ่านระบบถ่ายทอดสัญญาณจากอะนาล็อกสู่ดิจิตอลหรือที่เรียกกันว่า ทีวีดิจิตอลนั่นเอง

ทีวีดิจิตอล นอกจากจะทำให้ภาพในจอโทรทัศน์คมชัดกว่าเดิมแล้ว เชื่อว่าจะก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมไปในหลายมิติที่เชื่อมโยงกับการเสพสื่อโทรทัศน์ ด้วยความหลากหลายของจำนวนช่องฟรีทีวีที่เพิ่มขึ้นจาก 6 ช่องเป็น 48 ช่อง ย่อมเปิดโลกของการสื่อสารผ่านจอฟรีทีวีให้กว้างขึ้น และแน่นอนว่าจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงสังคมไม่มากก็น้อยแน่นอน

แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น การเตรียมตัวเข้าสู่ระบบทีวีดิจิตอลถือเป็นบันไดขั้นแรกที่ควรต้องรับรู้

ทำไมต้องเป็นทีวีดิจิตอล

การเปลี่ยนระบบการออกอากาศจากแบบอะนาล็อกไปสู่ดิจิตอล เป็นไปตามการแนวโน้มของเทคโนโลยีและข้อตกลงของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ไอทียู) ที่กำหนดให้ทุกประเทศต้องออกอากาศด้วยระบบดิจิตอลภายในปี 2558 ซึ่งคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในฐานะแม่งานหลัก จึงได้ทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่เพื่อการออกอากาศทีวีดิจิตอล รวม 48 ช่อง และได้เปิดประมูลให้เอกชนเข้ามาดำเนินการไปแล้วเมื่อปลายเดือน ธ.ค. 2556 ที่ผ่านมา

ทั้ง 48 ช่องเป็นทีวีที่ให้ดูกันแบบฟรีๆ ไม่ต้องเสียค่ารายเดือนรายปี แบ่งเป็น ช่องสาธารณะและช่องชุมชนอย่างละ 12 ช่อง และช่องธุรกิจอีก 24 ช่อง ต่อไปเมื่อเปิดทีวีชมรายการในระบบดิจิตอล ช่อง 1-12 จะเป็นช่องสาธารณะ จากนั้นช่อง 13-36 จะเป็นช่องธุรกิจ และช่องทีวีชุมชนเริ่มตั้งแต่ช่อง 3748 ซึ่งจะเป็นแผนในระยะต่อไป

การรับชมทีวีดิจิตอลจะต้องติดกล่องรับสัญญาณ หรือ set top box ในกรณีที่เป็นทีวีที่ไม่ได้ติดตั้งอุปกรณ์รับสัญญาณดิจิตอลภายในเครื่อง แต่สำหรับทีวีรุ่นใหม่ๆ ที่มีเครื่องรับสัญญาณดิจิตอลอยู่ในเครื่องแล้วก็ไม่จำเป็นต้องติดตั้งกล้องรับสัญญาณแต่อย่างใด และเพื่อเป็นการสนับสนุนให้ครัวเรือนรับสัญญาณดิจิตอลได้ เงินที่ได้จากการประมูลทีวีดิจิตอลกว่า 5 หมื่นล้านบาท ส่วนหนึ่งจะนำมาใช้เป็นทุนในการแจกคูปองให้กับประชาชนจำนวน 22 ล้านครัวเรือน เพื่อติดตั้งกล่องรับสัญญาณหรือเครื่องรับโทรทัศน์รุ่นใหม่ เบื้องต้นคาดว่าจะแจกคูปองให้ในราคา 690 บาท

1 เม.ย.พร้อมออกอากาศ

พ.อ.นที ศุกลรัตน์ ประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) ยืนยันว่า การเปลี่ยนผ่านสู่การออกอากาศในระบบดิจิตอลจะเกิดขึ้นภายในเดือน เม.ย.อย่างแน่นอน โดยผู้ชมสามารถรับชมได้ 3 แบบ คือ 1.โทรทัศน์ที่รองรับระบบทีวีดิจิตอล ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 60 รุ่น 2.ดูผ่านอุปกรณ์รับชม (เซต ท็อป บ็อกซ์) ที่ กสท.จะสนับสนุนค่าใช้จ่ายเบื้องต้น 690 บาทต่อครัวเรือน

ช่องทางที่ 3. คือ การรับชมผ่านกล่องดาวเทียม หรือเคเบิลทีวี ที่แต่ละบ้านมีอยู่เดิมได้ โดยผู้ให้บริการดาวเทียมหรือเคเบิลจะจัดเรียงหมายเลขช่อง 10 ช่องแรกตามความต้องการของผู้บริโภค ส่วนช่องในระบบทีวีดิจิตอลจะต้องบวกเพิ่มไปอีก 10 หมายเลข เช่น จากช่อง 13 จะเป็นช่อง 23 เป็นต้น

ในช่วงแรกของการออกอากาศทีวีดิจิตอลจะรับชมได้ 11 จังหวัด แบ่งเป็นเดือน เม.ย. 4 จังหวัด คือ จ.กรุงเทพ นครราชสีมา เชียงใหม่ และสงขลา จากนั้นในเดือน พ.ค. จะขยายอีก 3 จังหวัด คือ อุบลราชธานี สุราษฎร์ธานี และระยอง และเดือน มิ.ย.เพิ่มอีก 4 จังหวัด คือ สิงห์บุรี สุโขทัย ขอนแก่น และอุดรธานี รวมปีแรกจะครอบคลุม 11 ล้านครัวเรือน หรือประมาณ 50% ของครัวเรือนทั้งประเทศที่มี 22 ล้านครัวเรือน

อย่างไรก็ตาม แม้ประเทศไทยกำลังจะเปลี่ยนระบบการออกอากาศจากอะนาล็อกไปสู่ดิจิตอลแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่การเปลี่ยนแบบทันทีทันใด และยุติระบบเดิมที่เคยรับชมผ่านเสาอากาศไปเลย เนื่องจาก กสท.กำหนดว่าฟรีทีวีเดิม 6 ช่อง จะต้องออกอากาศคู่ขนานไปอีก 5 ปี นั่นหมายถึงผู้ชมจะยังคงรับชมทั้ง 6 ช่องได้ทั้งในระบบเสาอากาศแบบก้างปลาและระบบดิจิตอล

ควรรู้ก่อนเป็นทีวีดิจิตอล

การเปลี่ยนผ่านไปสู่ทีวีระบบดิจิตอล กลุ่มผู้ประกอบการที่ผลิตและจำหน่ายทีวี รวมถึงผู้ผลิตและจำหน่ายกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิตอล ได้มีการเตรียมความพร้อมรองรับทีวีดิจิตอลกันไว้แล้วรอเพียง กสทช.ออกมาประกาศให้ทำการประชาสัมพันธ์ข้อมูลได้เหล่าบรรดาผู้ประกอบการก็เดินหน้าทำการตลาดทันที

การออกอากาศระบบดิจิตอลอย่างเป็นทางการที่จะเริ่มในวันที่ 1 เม.ย.นี้ ผู้บริโภคสามารถรับชมได้จาก 3 ช่องทาง ประกอบด้วย ช่องทางที่ 1. ถ้าชมผ่านทีวีในระบบอะนาล็อกเดิม หรือทีวีที่ใช้กันทั่วไปในปัจจุบัน ผู้บริโภคสามารถรับชมทีวีในระบบดิจิตอลได้ทันทีโดยไม่ต้องเปลี่ยนทีวี เพียงแต่ต้องนำทีวีเครื่องเดิมไปเชื่อมต่อกับ Set Top Box (STB) หรือกล่องแปลงสัญญาณ ซึ่งกล่องตัวนี้จะช่วยเปลี่ยนสัญญาณจากระบบอะนาล็อกเป็นระบบดิจิตอลโดยไม่ต้องซื้อโทรทัศน์เครื่องใหม่

ช่องทางที่ 2. ถ้าผู้บริโภคต้องการซื้อทีวีเครื่องใหม่ เป็นทีวีภาคพื้นดินระบบดิจิตอล ต้องเป็นทีวีที่มีดิจิตอลจูนเนอร์ในตัวรับสัญญาณ (integrated Digital Television หรือ iDTV) จึงจะสามารถรับสัญญาณดิจิตอลได้โดยไม่ต้องใช้ Set Top Box แต่ผู้บริโภคต้องต่อทีวี iDTV กับเสาก้างปลาหรือหนวดกุ้ง ซึ่งวิธีนี้ผู้รับชมจะสามารถรับชมจำนวนช่องได้ทั้งหมด 48 ช่อง พร้อมกับคุณภาพความคมชัดปกติ SD (Standard Definition) และความคมชัดสูง HD (High Definition)

ช่องทางที่ 3. ผู้บริโภคที่รับชมโทรทัศน์ด้วยจานดาวเทียมหรือผ่านเคเบิล สามารถรับชมรายการได้ทั้งหมด 36 ช่อง ซึ่งไม่รวมช่องบริการชุมชนทั้ง 12 ช่อง เนื่องจากช่องบริการชุมชนจะให้บริการแปรผันไปตามภูมิภาคที่รับชมซึ่งระบบจานดาวเทียมและเคเบิลทีวีไม่สามารถดึงสัญญาณภาพไปให้บริการได้ ขณะที่ทั้ง 36 ช่องที่สามารถดูได้คุณภาพความคมชัดอาจจะไม่เท่ากับการต่อสัญญาณผ่านเครื่องแปลงสัญญาณหรือ Set Top Box

ทั้งสามช่องทางที่กล่าวไปข้างต้นคงจะพอให้ผู้บริโภคลดความกังวลเรื่องการรับชมทีวีในระบบดิจิตอลได้ไม่มากก็น้อย ใครสะดวกจะรับชมแบบไหนก็รับไว้พิจารณา แต่ไม่ว่าจะเป็นช่องทางการรับสัญญาณแบบไหน ช่วงแรกคาดว่าอาจจะมีปัญหาติดขัดบ้าง เพราะในปีแรกโครงข่ายจะครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศเพียง 50% เท่านั้น หลังจากนั้นปีที่ 2 จึงจะครอบคลุมเพิ่มเป็น 80% และเพิ่มไม่ต่ำกว่า 90% ในปีที่ 3

ในส่วนของราคากล่องแปลงสัญญาณดิจิตอลคาดว่าคงมีหลายราคาให้ผู้บริโภคได้เลือกราคาจะถูกหรือแพงคงต้องวัดกันที่คุณภาพ หากคุณภาพดีหน่อยราคาก็อาจจะขยับเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการที่ผลิตและจำหน่ายกล่องแปลงสัญญาณดิจิตอลก็เริ่มออกมาแย้มๆ ราคาขายกันบ้างแล้ว แต่ละรายตั้งราคาไม่ต่ำกว่า 1,000 บาท ขณะที่ กสทช.กำหนดมูลค่าการแจกคูปองให้ไปซื้อกล่องแปลงสัญญาณเริ่มต้นที่ 690 บาท ส่วนต่างที่เหลือให้ผู้บริโภครับไว้พิจารณาตามความเหมาะสม

สำหรับผู้บริโภครายใดต้องการซื้อทีวีใหม่ที่มีระบบจูนเนอร์ในตัวก็ควร สังเกตสติ๊กเกอร์รับรองการตรวจสอบมาตรฐานของ กสทช.ที่ติดอยู่บนผลิตภัณฑ์ รวมถึงโลโก้และมาสคอตดิจิตอลทีวี (น้องดูดี) ของ กสทช. ซึ่งแต่ละบริษัทก็ได้ทำทีวีรุ่นใหม่ออกวางตลาดกันแล้วในราคาหลักหมื่นอัพ หากใครอยากอัพเทรนด์ให้ทันสมัยไปกับทีวีดิจิตอลก็ต้องลงทุนควักกระเป๋าเพิ่มกันหน่อย

ชีวิตหลังยุคทีวีดิจิตอล

หลังเข้าสู่ยุคมิลเลนเนียมโลกได้เริ่มปรับเข้าสู่ยุดทีวีดิจิตอล นำโดยเนเธอร์แลนด์เป็นประเทศแรกที่เปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิตอล ในเดือน ธ.ค. ปี 2006 จากนั้นทั่วโลกจึงได้เริ่มทยอยปรับเปลี่ยนกันมาอย่างต่อเนื่อง จนในปัจจุบันมีประเทศกว่า 50 แห่งทั่วโลกที่เปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบบการแพร่ภาพสัญญาณใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

มหาอำนาจอย่างสหรัฐเปลี่ยนจากระบบอะนาล็อกเข้าสู่ยุคทีวีดิจิตอลอย่างเต็มตัวในเดือน มิ.ย. 2009 และหลังเข้าสู่ยุคดิจิตอล อุตสาหกรรมโทรทัศน์ในสหรัฐได้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามมาอย่างมาก ส่งผลให้ผู้เล่นรายเล็กที่มีทุนจำกัดต้องปรับตัวอย่างยากลำบากจนรัฐบาลต้องเข้ามาสนับสนุนงบในการเปลี่ยนระบบการส่งสัญญาณดิจิตอล

ไม่เพียงแต่การแข่งขันจากสถานีโทรทัศน์ทั่วไปตามปกติ ทว่ายุคของดิจิตอลยังทำให้เกิดการแข่งขันรูปแบบใหม่ๆ เช่น อินเทอร์เน็ตทีวี ที่สามารถเชื่อมต่อรายการต่างๆ ทางอินเทอร์เน็ตเข้าสู่ทีวีโดยตรง เช่น โครมแคสต์ ขณะที่รายการทีวีทั่วไปก็สามารถรับชมผ่านแพลตฟอร์มโทรศัพท์มือถือกันได้สะดวกมากขึ้น ซึ่งบริษัทสำรวจตลาดยักษ์ใหญ่อย่าง เอซี นีลเส็น ต้องปรับการวัดระดับเรตติ้งให้ครอบคลุมสื่อผ่านอินเทอร์เน็ตและทีวี โมบาย ในการจัดเรตติ้งยุคใหม่ด้วย

สำหรับในไทยการเปลี่ยนไปสู่ทีวีดิจิตอล ไม่เพียงแค่การเปลี่ยนระบบการส่งคลื่นความถี่จากจากอะนาล็อกมาเป็นดิจิตอลเท่านั้น แต่ยังหมายถึงสื่อโทรทัศน์ที่เปลี่ยนผ่านจากระบบผูกขาดอยู่เพียงไม่กี่รายไปสู่สื่อโทรทัศน์ที่มีเสรีมากขึ้น

ธวัชชัย จิตรภาษ์นันท์ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มองว่า สอดคล้องกับการปฏิรูปสื่อ โดยมี 3 ข้อ คือ 1.คนทำสื่อมีอิสระมากขึ้น เพราะระบบสัมปทานคนทำสื่อจะตอบสนองผู้มีอำนาจ แต่พอเป็นใบอนุญาตจะมีองค์กรอิสระอย่าง กสทช.มาดูแล อิสรภาพในการทำงานของสื่อจะมากกว่า เพราะไม่ต้องไปแบมือขอใครแล้ว

2.สร้างความหลากหลายทางความคิด ทีวีดิจิตอลยังทำช่องได้มากขึ้น จากเดิมมีฟรีทีวี 6 ช่อง ของใหม่มีได้เกือบ 50 ช่อง ฟรีทีวีในอดีตมีช่องธุรกิจแค่ช่อง 3 กับช่อง 7 ส่วนที่เหลือมีรัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ของใหม่มีช่องธุรกิจถึง 24 ช่อง และ 3.การเข้าถึงง่ายขึ้น เพราะอะนาล็อกมีข้อจำกัด ส่วนดิจิตอลมีการบังคับเรื่องการกระจายให้ครอบคลุมมากขึ้น

ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ไว้ว่า การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคทีวีดิจิตอลเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของวงการสื่อโทรทัศน์ไทย จะก่อให้เกิดช่องบริการธุรกิจที่อยู่ในรูปแบบฟรีทีวีกว่า 24 ช่องรายการ ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสื่อโทรทัศน์มีโอกาสสร้างเม็ดเงินจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ท่ามกลางการแข่งขันที่คาดว่าจะทวีความรุนแรงขึ้น เช่น ธุรกิจให้บริการด้านบรอดแคสต์ ทั้งในส่วนของการให้บริการโครงข่าย การให้บริการช่องรายการ และการให้บริการผลิตรายการโทรทัศน์และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ธุรกิจโฆษณา ธุรกิจทีวีโฮมช็อปปิ้ง รวมถึงธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องรับโทรทัศน์และกล่องรับสัญญาณดิจิตอล เป็นต้น

ขณะที่ผู้บริโภค นอกจากจะสามารถรับชมรายการโทรทัศน์ที่มีความคมชัดของภาพและเสียงมากยิ่งขึ้น ทีวีดิจิตอลยังทำให้เกิดความหลากหลายของช่องรายการในรูปแบบฟรีทีวี จะทำให้มีทางเลือกมากขึ้น และรายการโทรทัศน์น่าจะมาตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้ดีขึ้น เช่น เด็กจะสามารถรับชมรายการสำหรับเด็กได้มากขึ้น อีกทั้งการแข่งขันในอุตสาหกรรมสื่อโทรทัศน์ที่คาดว่าจะมีความเข้มข้นจากการที่มีผู้ประกอบการเข้ามาในตลาดมากขึ้น ย่อมทำให้ผู้บริโภคได้รับชมเนื้อหารายการที่มีความหลากหลาย แปลกใหม่ และมีคุณภาพมากขึ้น

ข่าวล่าสุด

CardX มอบเงินบริจาคห้าแสนบาทแก่สภากาชาดไทยเพื่อเร่งฟื้นฟูเยียวยาและช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบอุทกภัย