posttoday

ตามหา “ตลาดน้อย”

09 กุมภาพันธ์ 2557

อะไรมาเข้าฝันไม่รู้ แต่ดูเหมือนมีเสียงกระซิบเบาๆ ผ่านหู ไปตลาดกันมั้ย

โดย...โจ เกียรติอาจิณ / ภาพ วิชช์ญะ ยุติ

อะไรมาเข้าฝันไม่รู้ แต่ดูเหมือนมีเสียงกระซิบเบาๆ ผ่านหู ไปตลาดกันมั้ย

ตื่นเช้ามา เลยต้องรีบเสิร์ชหาคำว่า “ตลาดน้อย” เพื่อจะได้ออกตามหาตลาดแห่งนี้โดยไม่หลงทิศ

ตลาดน้อย ไม่ได้น้อยเรื่องขนาด ถือเป็นตลาดใหญ่ (เสียด้วยซ้ำ) มากกว่านั้น เรื่องความเก่าแก่ ก็ต้องยกให้ ไม่มีใครเทียบ เพราะที่นี่คือชุมชนชาวจีนดั่งเดิม ที่ขยับขยายมาจากสำเพ็ง

ตามหา “ตลาดน้อย”

 

คนจีนเรียกตลาดน้อยว่า “ตะลัคเกียะ” ว่ากันว่า คนจีนฮกเกี้ยนคือผู้อพยพมาอยู่ที่ตลาดน้อยตั้งแต่แรกเริ่ม หลังรัชกาลที่ 1 ทรงย้ายเมืองมาอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งก็หมายถึงฝั่งพระนคร

หลักฐานเชิงประวัติศาสตร์ ตลาดน้อยได้สะท้อนภาพการพัฒนาชุมชน “เจ๊ก” หรือคนจีนในบางกอกได้เป็นอย่างดี ไล่ลำดับความรุ่งเรืองของการค้าสำเภาที่เปิดเสรีในสมัยนั้น ร่ำรวยล่ำซำกันหลายตระกูล พิสูจน์ให้เห็นเป็นประจักษ์แจ้งจากท่าเรือต่างๆ ท่าเรือโปเส็งของตระกูลโปษยะจินดา ท่าเรือฮวยจุ่งโล้งของตระกูลพิศาลบุตร ต่อมาขายต่อให้ตระกูลหวั่งหลี

วันนี้ทุกอย่างเหลือเพียงภาพความทรงจำ อดีตอันรุ่งเรืองกลายเป็นสตอรีน่าศึกษาสำหรับคนรุ่นหลัง ดังเช่นบางส่วนของนิราศสำเพ็ง โดยนายบุศย์ บันทึกไว้

ตามหา “ตลาดน้อย”

 

“ถึงปากตรอกเจ้าสัวแต่ก่อนเก่า เขาลือเล่าพงศ์เพศเศรษฐี

ประกอบทรัพย์นับถังด้วยมั่งมี แต่เดี๋ยวนี้สิ้นบุญสูญบันดาล

จะแวะชมในย่านร้านตลาด ก็สิ้นขาดของดีไม่มีขาย

ที่โรงร้านเบาบางตามทางราย ด้วยเว้นวายใครไม่ได้ไปมา”

ตามหา “ตลาดน้อย”

 

ช่วงที่การค้าสำเภาเติบโต ตลาดน้อยก็คึกคักเช่นกัน กลายเป็นศูนย์กลางการค้าสำเภา ตลอดจนการหลั่งไหลของผู้คน ยิ่งเฉพาะแรงงาน หรือกุลี ก็เพิ่มจำนวนเป็นเงาตามตัว คนจีนหลากเชื้อสาย แต้จิ๋ว ไหหลำ จีนแคะ ต่างมุ่งมาจับจองที่ทำกินและขายแรงงาน ณ ตลาดน้อย ไม่เว้นกระทั่ง คริสตัง ชาวจีนบางส่วนยังเลือกมาพำนักและทำมาหากินที่วัดกาลหว่าร์ ซึ่งอยู่ในละแวกเดียวกับตลาดน้อย

ตลาดน้อยพลิกโฉมไปตามกาลเวลา ตลาดสดถูกบดบังด้วยตึกแถวสมัยใหม่ ความใหญ่ของตลาดจึงเล็กลง แผงตลาดถูกปรับให้เหมาะกับพื้นที่ ขายเช้าวายตอนสายๆ แม่ค้าพ่อค้าเจ้าเดิมล้มหายตายจาก มีเพียงลูกหลานที่ยังอยากสืบทอดก็มารับหน้าที่ต่อ

เสน่ห์อย่างหนึ่งไม่เคยจางหายไปจากตลาดน้อย เห็นจะไม่พ้นการเป็นแหล่งรวมอะไหล่เครื่องยนต์เก่าที่เลื่องชื่อที่สุดของกรุงเทพฯ เคยได้ยินมั้ยละ เซียงกง ก็ที่ตลาดน้อยนี่ละ เซียงกงของแท้และดั้งเดิม

ตามหา “ตลาดน้อย”

 

เดินเข้าซอยวานิช 2 เรื่อยถึงซอยดวงตะวัน เราได้รับการทักทายด้วยกลิ่นน้ำมันเครื่อง ไม่คุ้นและฉุนในบางอารมณ์ แต่คนย่านนั้นเขาบอกด้วยความสัตย์ซื่อ ชินล่ะ จากเหม็นกลายเป็นหอม

เซียงกงส่วนใหญ่เป็นร้านตึกแถว ใหญ่เล็กก็คละกันไป เรียงติดๆ กัน ซื้อมาขายไป ใครอยากได้อะไหล่ยี่ห้อ หรือรุ่นไหน สั่งกับเถ้าแก่ได้เลย บางร้านบริการครบวงจร มือไม้หน้าตาอาจจะมอมแมม แต่เรื่องบริการแต่ละร้านชนะใจลูกค้า

มาตลาดน้อยทั้งที ก็อย่าลืมแวะศาลเจ้า เป็นหนึ่งเอกลักษณ์ของตลาดน้อย แรงศรัทธาและความเชื่อปรากฏอยู่ในศาลเจ้า เช่น ศาลเจ้าโจวซือกง อายุกว่า 200 ปี ถ้าไปตอนกินเจ ที่นี่จะยิ่งใหญ่และอลังการมาก จัดฉลองสมกับที่เป็นศาลเจ้าเบอร์ต้นๆ ศาลเจ้าโรงเกือก มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ลมเย็นสบาย มีโอกาสไปตลาดน้อย ควรไปไหว้เสริมบารมี

ตามหา “ตลาดน้อย”

 

สภาพบ้านเรือนที่ตลาดน้อยผสมผสานระหว่างของเก่าและของใหม่ ของเก่าก็เป็นตึกเก่า ถึงเก่ามากๆ ไม่ได้รับการบูรณะ ว่าไปก็สวยไปอีกแบบแต่หลังจากนี้ไป ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น คนตลาดน้อยเองก็หวั่นๆ ว่าตึกเก่าเหล่านั้นอาจพังทลายลงตามอายุขัย หากไร้การบูรณะ

ช่วงหลังมานี้กระแสปั่นจักรยานบูม การปั่นจักรยานมาเที่ยวตลาดน้อยก็เลยได้รับความนิยม นักท่องเที่ยวตาน้ำข้าวปั่นมาตามเส้นทางเล็กๆ ตามตรอกซอกซอย เสี่ยงนิดๆ แต่ท้าทายและสนุกโคตร กลายเป็นเสน่ห์ที่กำลังเห็นได้ทั่วตลาดน้อย

ตลาดน้อยไม่ได้มีแค่เซียงกง ศาลเจ้า หรือความเก่าแก่ในฐานะชุมชนโบราณชาวจีน แต่ตลาดน้อยยังเต็มไปด้วยของกิน ใครที่ชอบกิน มาที่นี่ไม่ผิดหวังกลับไปแน่ๆ อิ่มแปล้ตั้งแต่เท้าเหยียบพื้น ทั่วตลาดน้อยมีของอร่อยให้ลิ้มลองมากมาย บางร้านเก่าและแก่ (คนขายและอายุร้านก็ด้วย) บางร้านเป็นตำนาน บางร้านมาแล้วไม่ชิมไม่ได้ ละลานตาน่ากินไปหมด กะหรี่ปั๊บเจ๊ปุ๊ ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาตลาดน้อย สมจิตรซาลาเปา เป็ดตุ๋นจ้าท่า ขนมเปี๊ยะเฮียบเคียง

นี่แค่ตัวอย่าง ลองไปเดินด้วยตัวเอง แล้วจะรู้ว่าตลาดน้อยคือถนนของอร่อยไม่แพ้ที่ไหนเลย

ตามหา “ตลาดน้อย”

2 ที่นี้ ก็ควรแวะ

ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาตลาดน้อย

ไม่ได้มีบัญชีเงินฝากที่นี่ แต่อยากไปแวะไปยลโฉม ถือเป็นธนาคารที่สวยที่สุดในประเทศ (แล้วละมั้ง) สวยและคลาสสิกด้วยโครงสร้างสถาปัตยกรรมตะวันตกสไตล์โบซาร์ผสมกับนีโอคลาสสิก โดยการออกแบบของสถาปนิกและนายช่างชาวอิตาเลียน “อันนิบาเล ริกอตติ” กับ “มาริโอ ดามันโย” มาริโอ” (คนเดียวกันกับที่ออกแบบพระที่นั่งอนันตสมาคม) ด้านในโอ่อา ตัวอาคารทาด้วยสีเหลือง เด่นด้วยลาดบัว หัวเสา ปูนปั้น แถมทำเลที่ตั้งยังเป็นรูปถุงเงิน ทางเข้าแคบแต่ปลายบาน ให้เงินเข้าง่ายแต่ออกยาก ตามหลักฮวงจุ้ย ท่าน้ำมีศาลา มองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยา ถูกยกให้เป็นสำนักงานแห่งแรก หลังจากที่มีการก่อตั้งในนามบริษัท แบงก์สยามกัมมาจลทุน เมื่อ พ.ศ. 2451 ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น ธนาคารไทยพาณิขย์

ตามหา “ตลาดน้อย”

วัดแม่พระลูกประคำ (วัดกาลหว่าร์)

โบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ที่อยู่คู่กรุงรัตนโกสินทร์มาจวบปัจจุบัน ก่อร่างสร้างตัวมาจากชาวโปรตุเกส หลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 และได้อพยพมาตั้งรกรากที่นี่ โดยนำทรัพย์สมบัติล้ำค่ายิ่ง 2 สิ่งติดตัวมาด้วย ได้แก่ รูปแม่พระลูกประคำกับรูปพระศพของพระเยซู บริเวณด้านหลังวัดเป็นสุสาน มีกางเขนปักเด่นเป็นสง่า ชาวบ้านเรียกว่า กาลวารีโอ ซึ่งเป็นชื่อภูเขาที่พระเยซูถูกตรึงกางเขน ต่อมาจึงเรียกเพี้ยนเป็น กาลหว่าร์ ตัวโครงสร้างเป็นงานสถาปัตยกรรมตะวันตกทรงสี่เหลี่ยมมีมุมยื่น 2 ข้าง ภายในเป็นโถงโล่ง ปูด้วยหินอ่อน ตัวโบสถ์หลังเก่านั้นผุพังไป จึงสร้างขึ้นใหม่สไตล์โกธิก มียอดแหลมเสียดฟ้า ตกแต่งด้วยกระจกสี สวยงามเหลือเกิน เป็นภาพจากเรื่องราวในพระคัมภีร์ ส่วนองค์พระแม่ลูกประคำประดิษฐานอยู่ด้านหน้าทางขวาของโบสถ์ ซึ่งทุกปีที่นี่จะจัดงานแห่พระแม่ลูกประคำ

ข่าวล่าสุด

เปิด Top 3 ดวงขึ้นแรงสุด 12 นักษัตร นักธุรกิจ ใครปัง รับปีม้าไฟ