posttoday

แน็ต พีรวรรณ สาวไทยใน...‘นาซา’

08 กุมภาพันธ์ 2557

เมื่อไม่นานมานี้ได้มีข่าวใหญ่เกี่ยวกับองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐ หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ “องค์การนาซา”

โดย ดำรงเกียรติ มาลา

เมื่อไม่นานมานี้ได้มีข่าวใหญ่เกี่ยวกับองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐ หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ “องค์การนาซา” คือ การเลย์ออฟพนักงานกว่า 3,000 คน จากการถูกตัดงบประมาณ ซึ่งนับเป็นวิกฤตการเงินในรอบ 30 ปีของนาซา ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้การคัดเลือกคนเข้าไปทำงานประจำขององค์กรสำรวจอวกาศแห่งนี้เพื่อความเข้มงวดขึ้น เรียกได้ว่าต้องเป็นระดับหัวกะทิเท่านั้น

แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าพนักงานใหม่ที่ได้รับโควตาเข้าทำงานในนาซาปีนี้ มีสาวไทยตัวเล็กๆ ที่ชื่อว่า “แน็ต” พีรวรรณ วิวัฒนานนท์ เป็นหนึ่งในนั้นด้วย

“แน็ต” เป็นสาวไทยวัย 35 ปี เกิดและเติบโตที่ จ.นครราชสีมา ที่มีความฝันว่าอยากเป็นนักบินอวกาศหญิงตั้งแต่อายุเพียง 4 ขวบ เหตุการณ์เริ่มขึ้นขณะที่ ด.ญ.พีรวรรณ ในเวลานั้น นั่งเล่นบนเรือนไม้สักของคุณทวดโดยเหม่อมองท้องฟ้าไปเห็นเครื่องบินลำหนึ่งบินผ่านไป เด็กน้อยจึงตั้งคำถามกับพ่อที่นั่งอยู่ข้างๆ ว่า “ในอวกาศมีคนอยู่มั้ยคะพ่อ?” และได้รับคำตอบว่า “ไม่มีหรอกลูก แต่มีคนทำงานอยู่บนนั้นนะ เค้าเรียกว่าพวกนักบินอวกาศ”

นับตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา เด็กน้อยจึงบอกกับตัวเองทันทีว่าเมื่อโตขึ้น “ฉันจะต้องเป็นนักบินอวกาศ” และเมื่อได้เจอรูปภาพหรือสารคดีที่เกี่ยวกับอวกาศหรือดวงดาวเมื่อใด เธอจะหยุดนิ่ง สนใจราวกับต้องมนต์สะกดทุกครั้ง จนกระทั่งอายุ 8 ขวบ ผลจากการอ่านหนังสือเกี่ยวกับดวงดาวก็ทำให้แน็ตได้รู้จักกับ “องค์การนาซา” เป็นครั้งแรกจากหนังสือที่อ่าน

“ตอนนั้นพอรู้ว่าถ้าอยากออกไปอวกาศจะต้องทำงานที่องค์กรนาซา เราก็รีบวิ่งไปบอกพี่สาวเลยว่า โตขึ้นหนูจะต้องทำงานองค์กรนาซาให้ได้ แต่พี่สาวก็หัวเราะแล้วบอกว่าคงเป็นไปได้ยาก เราเลยคิดในใจว่าถ้าเปรียบนาซาเป็นเหมือนบันไดขั้นที่ 10 ถ้าพยายามจนถึงที่สุดแล้วไปไม่ถึงหรือตกลงมา อย่างน้อยๆ ได้อยู่ในขั้นที่ 8 หรือ 9 ก็ยังดี”

เข็มนาฬิกาล่วงเลยผ่านไป จนกระทั่งเธอขึ้นชั้น ม.4 แน็ตก็ได้มีโอกาสเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนในโครงการไทยอเมริกันศึกษา ที่รัฐมอนทานา ประเทศสหรัฐอเมริกา เธอเล่าว่า หนึ่งในเป้าหมายที่ตั้งใจไปจากเมืองไทยเลยคือการไปเยี่ยมชมศูนย์นาซาที่รัฐฟลอริดา แต่เมื่อไปถึงที่นั่นแล้วก็ต้องพบกับอุปสรรคเมื่อผู้ดูแลโครงการไม่อนุญาตให้เด็กแลกเปลี่ยนเดินทางข้ามรัฐโดยลำพัง

“พอเขาไม่ให้เราก็ไม่ยอมแพ้ เลยเขียนจดหมายไปหาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของโครงการ เล่าความรู้สึกและความฝันของเรา จนในที่สุดเขายอมให้เราไป วินาทีที่เข้าไป พอได้เห็นฐานจรวดอยู่ข้างหน้า ความรู้สึกมันเหมือนเราได้ก้าวขึ้นบันไดขั้นแรกมาแล้ว ซึ่งเป็นแรงผลักดันว่าความฝันมันต้องเป็นไปได้”

แต่เมื่อกลับมาเมืองไทยเพื่อเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย ความฝันของแน็ตก็แทบพังทลาย เมื่อเธอสอบเอนทรานซ์ไม่ติดเลยแม้แต่คณะเดียว โดยเฉพาะคณะที่เธอใฝ่ฝันอยากเรียนมากที่สุดอย่างวิศวกรรมการบิน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งความผิดพลาดในครั้งนี้เธออธิบายว่าเกิดจากการที่ได้เกรดดีมาตลอดสมัยมัธยมปลายจนหลงตัวเอง นึกว่าตัวเองฉลาดแล้ว ไม่ได้เตรียมตัวสอบ ผลที่ออกมาก็เลยสอบไม่ติด

หลังจากตั้งสติได้ แน็ตตัดสินใจเบนเข็มไปยังสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (SIIT) ซึ่งจะมีการเปิดสอบตรงในเวลานั้น ครั้งนี้จึงตั้งต้นอ่านหนังสือใหม่และสอบติดคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาเครื่องกล และเลือกเรียนที่นี่จนจบปริญญาตรี

หลังเรียนจบปริญญาตรี เธอสอบได้ทุนไปศึกษาต่อทั้งปริญญาโทและเอกที่ประเทศเยอรมนีจากรัฐบาลเยอรมัน จึงได้ไปเรียนปริญญาโทที่เมืองฮัมบูร์ก แน็ตเล่าว่า ในช่วงที่เรียนที่นี่เธอรู้สึกพลาดที่เลือกเรียนสาขาซึ่งไม่เหมาะกับตัวเอง แต่ก็อดทนเรียน โดยพยายามเลือกหัวข้อวิจัยช่วงใกล้จบในทิศทางที่ตรงกับสิ่งที่ชอบให้มากที่สุด

หลังเรียนจบปริญญาโท เธอได้รับข้อเสนอให้ไปศึกษาต่อปริญญาเอกที่อเมริกาด้วยทุนเต็มจำนวน ซึ่งเธอรู้สึกดีใจมากเพราะการได้ไปเรียนปริญญาเอกที่อเมริกาอาจทำให้เข้าใกล้ความฝันเรื่องทำงานนาซามากขึ้น แต่ทว่าการเรียนในครั้งนี้กลับไม่ประสบความสำเร็จ เพราะได้เรียนกับอาจารย์ที่ไม่ชอบ เธอจึงเปลี่ยนแผนจากการเรียนปริญญาเอกมาเป็นปริญญาโทใบที่ 2 แทน

แน็ต พีรวรรณ สาวไทยใน...‘นาซา’

 

“ที่อเมริกาเราค้นพบว่า ณ เวลานั้น สถานที่นั้น กับอาจารย์คนนั้น มันไม่เหมาะกับตัวเราอย่างมาก เราชอบการเรียนที่ให้อิสระในการคิด ไม่ถูกตีกรอบ หลังจากจบโทจึงตัดสินใจกลับมาเรียนปริญญาเอกที่ยุโรป โดยเรียนสาขาวิศวกรรมการบิน ที่มหาวิทยาลัยเดลท์ ประเทศเนเธอร์แลนด์

ระหว่างที่อยู่ในเนเธอร์แลนด์นี้เอง มีอยู่วันหนึ่งผู้อำนวยการศูนย์วิจัยนาซาที่แลงรีย์ รัฐเวอร์จิเนีย ได้เดินทางมาบรรยายที่มหาวิทยาลัยที่เธอเรียนอยู่ และเปิดโอกาสให้นักศึกษาสามารถไปฝึกงานที่นาซาได้ ทันทีที่รู้ข่าวเธอก็คิดทันทีว่าต้องคว้าโอกาสนี้มาให้ได้ จึงเดินเข้าไปคุยกับคนนี้โดยที่มีเวลาให้แนะนำตัวเพียง 1 นาที

“ด้วยเวลาแค่นั้นเราก็วางแผนเลยว่าจะต้องทำให้เขาจำเราให้ได้ใน 1 นาที เราก็แนะนำตัว บอกเลยว่ากำลังทำวิจัยเรื่องอะไร และที่สำคัญคือบอกเล่าความฝันที่อยากทำงานนาซามาตั้งแต่เด็ก การพบกันครั้งนั้นทำให้เกิดการพบปะพูดคุยอีกหลายครั้ง จนคนนั้นมั่นใจและแนะนำให้เรารู้จักกับคนข้างในนาซา คนที่กำลังจะเป็นเจ้านายในอนาคต”

จากคำแนะนำของผู้อำนวยการศูนย์วิจัยที่แลงรีย์ ทำให้แน็ตได้มีโอกาสพูดคุยกับคนคนหนึ่ง การพูดคุยเป็นไปอย่างออกรส ตลอดช่วงเวลาการคุย 2 ชั่วโมง 20 นาที โดยที่เธอไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกสัมภาษณ์งานอยู่ ทำให้หญิงสาวเผยความเป็นตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ จนกระทั่งช่วงท้ายของบทสนทนาคนคนนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “คราวนี้เป็นคราวของคุณที่คุณจะต้องสัมภาษณ์ผมบ้างแล้ว” เธอจึงรู้สึกตัวขึ้นมาว่าได้ถูกสัมภาษณ์ไปแล้ว จึงยิงคำถามกลับไปตรงๆ ว่า “ตลอดสองชั่วโมงกว่าที่ได้คุยกัน คุณมองเห็นโอกาสที่ฉันจะได้ทำงานที่นาซาบ้างไหม?”

คำตอบที่ได้รับคือ “มองเห็น”

หลังการสัมภาษณ์ครั้งที่ 1 ผ่านไป แน็ตได้รับเชิญให้ไปเยี่ยมชมศูนย์นาซาตลอด 3 วันเต็ม จนในที่สุดเธอก็ได้รับการว่าจ้างเป็น post doctoral researcher หรือเป็นนักวิจัยด้านอุปกรณ์ที่จะนำไปใส่ในดาวเทียม ประจำองค์การนาซา ฝันเป็นจริงแล้วเธอบอกกับตัวเอง หลังจากที่ใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตไล่ล่ามันมา

“ทุกวันนี้เวลาเจอเพื่อนๆ หรือน้องๆ เรามักจะถูกถามว่ามีเคล็ดลับอย่างไรหรือทำยังไงจึงจะประสบความสำเร็จ คำแนะนำที่เรามักจะให้เสมอคือต้องค้นหาตัวเองให้เจอ หลายคนอาจมองว่าเราโชคดีที่รู้จักตัวเองตั้งแต่เด็ก ได้วางแผนชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย แต่จริงๆ แล้ว เราก็ยังต้องค้นหาตัวเองตลอดเวลา โจทย์คืออยากทำงานนาซา อยากทำงานอวกาศ แล้วจะส่วนไหนของอวกาศล่ะ ดวงดาวหรือยานอวกาศ ก็ต้องถามตัวเองกว่าจะมาถึงวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน”

แต่ถ้าจะให้คำแนะนำกับเด็กไทยถึงวิธีการค้นหา ก็คงต้องบอกว่า มันต้องมีสองส่วนคือสังเกตตัวเองและให้คนรอบข้างช่วยสังเกต อะไรที่ทำให้เราหยุดนิ่ง อะไรดึงความสนใจเราได้ราวกับแม่เหล็ก สิ่งนั้นแหละใช่ ขณะเดียวกันให้โอกาสตัวเองได้ลองสิ่งอื่นๆ ด้วย เพราะการค้นหาตัวตนเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา

เมื่อผ่านจุดแรกมาได้แล้ว ต้องเริ่มหาแนวทางว่าจะเป็นไปได้ไหม ทำอย่างไร ต้องหาตัวช่วย ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดคือคุยกับผู้รู้ ผู้ที่มีประสบการณ์ แน็ตเล่าว่าข้อดีของเธอคือเป็นคนที่กล้าเดินเข้าไปถามผู้รู้ เวลาเรียนในห้องเรียนทุกครั้งเธอมักจะยกมือถามคำถามทุกครั้ง และถ้ายังสงสัยเมื่อจบชั่วโมงก็จะเข้าไปขอคำปรึกษาจากอาจารย์ทันที

อีกข้อแนะนำหนึ่งคือ นั่งคุยกับใครก็ได้ จะคนรอบข้าง หรือคนสาขาใกล้เคียง เพราะหลายคำถามอาจทำให้เราฉุกคิด นอกจากนี้ยังให้ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ มุ่งมั่นพยายาม ถ้าเจอความล้มเหลวต้องมีสติ เรียนรู้มัน จะได้แก้ไขมันได้

“ถึงวันนี้เราสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำแล้วว่า ชอบงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ สนุกกับการแก้ปัญหา ถ้าวันนี้แก้ไม่ได้ จะตั้งหน้าตั้งตารอที่จะตื่นมาแก้ใหม่ในวันพรุ่งนี้ ความมุ่งมั่นตั้งใจบวกประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมา ทำให้เขามั่นใจรับเราเข้าทำงาน”

ณ วันนี้ แน็ตยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะทำงานอยู่นาซาหรืออยู่ในดินแดนแห่งความฝันของเธอไปอีกนานเท่าไหร่ แต่อีกหนึ่งเป้าหมายในอนาคตที่หญิงแกร่งคนนี้ได้วางเอาไว้ก็คือ การกอบโกยความรู้ทั้งหมดกลับมายังประเทศไทย เพื่อจะขอเป็นฟันเฟืองตัวหนึ่งในการพัฒนาแผ่นดินแม่ ผ่านการนำประสบการณ์และแรงบันดาลใจมาถ่ายทอดให้นักเรียนคนรุ่นหลังได้กล้าที่จะไล่ล่าความฝันเช่นเดียวกับเธอ

เมื่อตาดูดาว ไม่จำเป็นที่เท้าต้องติดดิน แต่เมื่อตาดูดาวแล้วสองขาควรจะก้าวเดินไปหามัน

ข่าวล่าสุด

KBANK ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% เงินฝาก 0.05-0.10%