อภินิหารเหนือพระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว แคนดี้ ศรีลังกา
พระบรมธาตุเขี้ยวแก้วของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่กรุงแคนดี้ ประเทศศรีลังกา
พระบรมธาตุเขี้ยวแก้วของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่กรุงแคนดี้ ประเทศศรีลังกา ศูนย์กลางที่ชาวพุทธทั่วโลกมาบูชากันอย่างน้อยวันละ 1 หมื่นคน ในจำนวนนั้นเป็นชาวพุทธไทยทั้งพระสงฆ์และฆราวาส ซึ่งมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งคณะของพระธรรมวรนายก เจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เจ้าอาวาสวัดพระนารายณ์มหาราช ที่นำคณะสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 ที่มีสุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการ มากราบนมัสการและบูชา เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 2557 นั้นด้วย
แต่การมาของคณะที่นำโดยพระธรรมวรนายกในวันนั้น ต้องตะลึงกับภาพที่ปรากฏบนท้องฟ้า หลังจากกราบบูชาพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วในตอน 19.00 น. และเดินกลับในเวลา 20.00 น. เพราะทุกคนที่เห็นพูดกันว่าเป็นความมหัศจรรย์ หรือปาฏิหาริย์
บนท้องฟ้ามีพระจันทร์ทรงกลดและเต็มดวง เนื่องในวันขึ้น 14 ค่ำเดือน 2 สาดแสงสว่างไสวทั่วท้องนภากาศ โดยมีดาวอีกดวงหนึ่งทอประกายระยิบระยับ ทำให้วิหารที่ประดิษฐานพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วสว่างไสวไปด้วย ทันใดนั้นพวกเราเห็นกลุ่มเมฆขนาดใหญ่ที่ไม่น่าจะมีในคืนนั้น ได้เคลื่อนตัวดังพวงมาลามาบูชาพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วด้วย ดังภาพที่ผู้เขียนใช้กล้องแคนนอน G 11 ถ่ายไว้ รวมทั้งเพื่อนร่วมคณะก็ถ่ายภาพนี้กันทุกคน (ที่มีกล้อง)
แม้ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ แต่ก็สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่พวกเรา ซึ่งหลายคนคิดว่าเป็นอภินิหารแห่งพระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว
พระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งศรีลังกา และของโลก บรรจุอยู่ในกล่องงาช้างฝังอัญมณีหุ้มทอง เจดีย์แก้ว เจดีย์ทอง อีก 7 ชั้น ตั้งอยู่ในห้องกันกระสุน ประดิษฐานที่วิหารใหญ่ ในวัดดาลดา มัลลิกาวะ หรือวัดพระเขี้ยวแก้ว ที่ล้อมรอบด้วยกำแพงใหญ่ และคูน้ำ มีการอารักขาอย่างรัดกุม การจะเปิดให้นมัสการต้องมีกรรมการ 3 คน แต่ละคนถือกุญแจคนละดอก มาพร้อมกันจึงจะเปิดได้ โดยจะเปิดเช้ามืด กลางวัน และตอนค่ำ วันละ 3 เวลา
พระบรมธาตุเขี้ยวแก้วเดิมประดิษฐานแคว้นกาลิงคะ โดยพระเถระรูปหนึ่งนามว่าเขมะ ศิษย์พระสารีบุตร ได้อัญเชิญไปประดิษฐาน ที่แคว้นกาลิงคะ ประเทศอินเดีย
ต่อมาเกิดสงครามแย่งชิงพระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว ระหว่างกษัตริย์ เจ้าชายทันตกุมาร ราชบุตรเขยของกษัตริย์แห่งกาลิงคะ เจ้าหญิงเหมมาลา จึงปลอมพระองค์เป็นพราหมณ์แล้วอัญเชิญพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วสู่เมืองอนุราธปุระ เมืองหลวงแห่งแรกของศรีลังกา ใน พ.ศ. 844-871 ซึ่งขณะนั้นเป็นสมัยของพระเจ้าสิริเมฆวัณณา
เมื่อย้ายเมืองหลวงไปตั้งที่ไหน พระมหากษัตริย์ต้องอัญเชิญพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วไปประดิษฐานที่นั่นด้วย และได้อัญเชิญมาประดิษฐานที่กรุงแคนดี้ เป็นเมืองหลวงสุดท้ายที่มีพระมหากษัตริย์ ทรงมีอำนาจในการปกครอง ก่อนจะตกอยู่ในอำนาจของอังกฤษ (พ.ศ. 2136-2358)
ก่อนที่จะมานมัสการและบูชาพระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว คณะของพระธรรมวรนายก และสุภชัย วีระภุชงค์ ได้เข้าไปเยี่ยมชมและทอดผ้าป่าถวายวัดมัลละวัตตะ หรือวัดบุบผาราม วัดที่พระอุบาลีเถระจากวัดธรรมาราม กรุงศรีอยุธยา ที่ได้รับเชิญจากกษัตริย์ศรีลังกา มาอุปสมบทสมเณรสรณังกร และคณะ เพื่อฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในประเทศที่เป็นเกาะแห่งนี้ เมื่อ 260 ปี สมัยพระเจ้าบรมโกศ และตั้งแต่นั้นมาชื่อสยามวงศ์ก็ปรากฏขึ้นในคณะสงฆ์ศรีลังกา และทั้งสอง ประเทศฉลองวาระครบ 260 ปีไปแล้วเมื่อเดือน ส.ค. 2556
วัดมัลละวัตตะกว้างใหญ่ไพศาล มีกำแพงล้อมรอบ ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ ตรงกันข้ามกับที่ประดิษฐานพระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว ภายในวัดมีอาคารที่พักสงฆ์ ซึ่งปัจจุบันมีพระสงฆ์อยู่จำวัดประมาณ 100 รูป สามเณรอีก 70 รูป
ที่โดดเด่นของวัดคือพิพิธภัณฑ์การก่อเกิดของสยามวงศ์ มีภาพเขียนของสามเณรสรณังกร ซึ่งได้เป็นสังฆราชหลังจากอุปสมบทแล้ว มีรูปหล่อของท่านอุบาลีเถระ พร้อมทั้งสมณบริขาร เช่น บาตร และจีวร เป็นต้น
ที่พระอุโบสถ มองดูทั้งภายนอกและภายใน ไม่มีอะไรแตกต่างจากอุโบสถที่สร้างในเมืองไทย เช่น ใบเสมาสลักลายขนาดใหญ่ตั้งอยู่ 8 ทิศ ตัวอุโบสถยกพื้นโดยมีเฉลียงทั้ง 4 ด้าน ที่เหมือนไทยคือการยกเหลี่ยมที่ฐานอุโบสถ ภายในมีพระประธานขนาดใหญ่ เสาแต่ละต้นเป็นเสาหิน 4 เหลี่ยม เท่ากัน ในส่วนของเพดานเป็นภาพเขียนเล่าเรื่องพุทธประวัติเต็มพื้นที่ ซึ่งทั้งหมดเป็นของโบราณอายุ 261 ปี
จากนั้นได้เดินทางไปถวายความเคารพพระศรีพุทธรักขิต มหานายกะ สยามวงศ์ฝ่ายอัสสคีริ (อรัญญวาสี) ณ วัดอัสสคีริยา เมืองแคนดี้ ประเทศศรีลังกา
ท่านสังฆนายก ได้เมตตาแก่สุภชัย วีระภุชงค์ โดยรับปากว่าจะจัดส่งพระศรีลังกาที่มีความสามารถในการสื่อสารภาษาไทย เข้าอบรมพระพุทธศาสนาเชิงลึก ที่ประเทศอินเดีย ตามโครงการของสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 ที่นิมนต์พระเถรวาทจากประเทศ สปป. ลาว กัมพูชา เวียดนาม และพม่า เข้าศึกษาอบรมพร้อมกันเป็น เวลา 3 เดือน ในช่วงเข้าพรรษา ในปี 2557 ซึ่งสถาบันจัดโครงการนี้มา 5 ปีติดต่อกันแล้ว
หลังจากกราบสังฆนายกแล้ว พวกเราได้เดินทางมาเยี่ยมที่เผาศพพระอุบาลีเถระ ที่สุสานหลวง อยู่ใกล้กับวัดอัสสคีริยา ซึ่งมีหลักศิลาจารึกเป็นรูป 4 เหลี่ยมจารึกเป็นภาษาสิงหล ภาษาอังกฤษ และภาษาไทย สร้างอุทิศโดยพระธรรมปัญญาบดี (ช่วง วรปุญโญ ป.ธ.9 ปัจจุบันคือสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช) เมื่อ พ.ศ. 2531
ความจริงพระพุทธศาสนาเถรวาท ระหว่างไทยและศรีลังกา มีความสัมพันธ์ที่ดีและเกื้อกูลกันตลอดเวลา นับตั้งแต่กรุงสุโขทัย เมืองหลวงแรกของไทย ที่รับเอาพระพุทธศาสนาเถรวาทที่พระลังกานำมาเผยแผ่เมื่อ 800 ปีมาแล้วจนเกิดลังกาวงศ์ ขึ้นในสยามประเทศ
ในทางกลับกันเมื่อต่างชาติ (โปรตุเกส ดัตช์ และอังกฤษ) ยึดครองศรีลังกา เบียดเบียนพระพุทธศาสนาจนกระทั่งไม่มีพระภิกษุทำสังฆกรรมเช่นการอุปสมบทกุลบุตรได้ ก็เป็นหน้าที่สยาม ที่ให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟู จนกระทั่งเข้มแข็งถึงปัจจุบัน
ปัจจุบัน ประเทศศรีลังกา ซึ่งมีประชากร 20 ล้านคน ประกาศให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ จึงเห็นประชาชนชาวบ้าน ตลอดถึงรัฐบาลที่บริหารประเทศให้ความสำคัญแก่พระพุทธศาสนามาก เช่น สวดมนต์และรับศีลก่อนเริ่มงานประจำวัน เป็นต้น
ในบริเวณ 4 แยกสำคัญๆ ในเมืองทั้งโคลัมโบ อันเป็นเมืองหลวง และเมืองสำคัญในต่างจังหวัด จะมีพระพุทธรูปให้กราบไหว้บูชา เกือบทุกสถานที่ (ไม่มีรูปบูชานอกศาสนาพุทธ เหมือนไทย)
ในทำนองเดียวกันประชาชนชาวพุทธศรีลังกาทั้งหนุ่มสาว และสูงวัย จะนำดอกบัวเข้าวัดไปบูชาพระ พร้อมทั้งตักน้ำรดต้นโพธิ์ ทุกวัน
เมื่อไรหนอประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับจากประเทศนับถือพระพุทธศาสนาให้เป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลก จะมีภาพที่น่าชื่นใจเช่นนั้นบ้าง


