สันติสุข...จะเกิดขึ้นในสังคมไทยได้อย่างไร !? (จบ)
การจัดการบริหารสังคมให้เป็นไปในรูปแบบตามหลักพุทธธรรม โดยยึดแนวทางธรรมาธิปไตย โดยมุ่งให้การศึกษาเพื่อชีวิตที่เน้นความรู้คู่คุณธรรม
โดย...พระอาจารย์อารยะวังโส
การจัดการบริหารสังคมให้เป็นไปในรูปแบบตามหลักพุทธธรรม โดยยึดแนวทางธรรมาธิปไตย โดยมุ่งให้การศึกษาเพื่อชีวิตที่เน้นความรู้คู่คุณธรรม จึงทำให้สังคมดำเนินไปสู่ความสันติสุข ด้วยการวางหลักสัปปุริสธรรม หรือคุณสมบัติของคนดี เป็นแนวปฏิบัติให้กับบุคคลในสังคมทุกฐานะ ไม่ว่าจะเป็นประชาชน นักบริหาร นักการปกครอง นักการเมือง เพื่อพัฒนาชีวิตของทุกๆ คนในสังคม ให้สอดคล้องประสานสัมพันธ์กันด้วยอำนาจแห่งความดีของคนดี ซึ่งจะต้องปลูกฝังในจิตวิญญาณให้มีศรัทธา หิริโอตตัปปะ พหุสัจจะ (สุตะ) วิริยะ สติ ปัญญา หรือกล่าวเพื่อความเข้าใจได้อีกนัยหนึ่งว่า... ต้องเป็นบุคคลที่มีความเชื่อในองค์คุณพระรัตนตรัย มีความละอายใจต่อการทำความชั่ว มีความเกรงกลัวต่อความชั่วและผลที่เกิดขึ้นจากความชั่วนั้น เป็นคนได้ยินได้ฟังมาก เป็นคนมีความเพียร มีสติมั่นคง ไม่เผอเรอ และเป็นคนมีปัญญารอบรู้
ผู้ที่มีความสมบูรณ์ในคุณธรรมตามที่กล่าวมา จะคิดทำสิ่งใดๆ จะพูด หรือจะปรึกษาหารือใคร ก็จะไม่เป็นไปเพื่อความเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น จะมีความเห็นชอบถูกต้องตามทำนองคลองธรรมในกฎแห่งกรรมของความเป็นจริง และจะให้ทานโดยเคารพเอื้อเฟื้อ
อีกทั้งยังยึดหลักสัปปุริสธรรม (ธรรมของคนดี) ในสัตตกนิบาต ๗ ประการ ได้แก่
๑.ธัมมัญญุตา... ความเป็นผู้รู้จักเหตุ หรือรู้จักต้นเหตุที่ก่อให้เกิดผล
๒.อัตถัญญุตา... ความเป็นผู้รู้จักผลที่เกิดจากเหตุ
๓.อัตตัญญุตา... ความเป็นผู้รู้จักตน
๔.มัตตัญญุตา... ความเป็นผู้รู้จักความพอเหมาะพอดี
๕.กาลัญญุตา... ความเป็นผู้รู้จักกาลเวลาอันเหมาะสม
๖.ปริสัญญุตา... ความเป็นผู้รู้จักชุมชน
๗.ปุคคลปโรปรัญญุตา... ความเป็นผู้รู้จักเลือกบุคคล ตามหลักดูคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น
ตามที่กล่าวมา เป็นแนวทางให้เห็นหลักธรรมปฏิบัติที่จะนำสังคมไปสู่ความสงบสุข... การขจัดความเป็นอกุศลจิตที่เกิดจากความคับแค้น พยาบาท ด้วยความรู้ ความเข้าใจ ในโทษภัยและคุณประโยชน์ หากรู้จักนำออกซึ่งอกุศลธรรมนั้นๆ
สำหรับการวางใจให้เป็นกลางนั้น เป็นเรื่องของผู้มีสติปัญญาที่รู้จักคิดพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน จนเห็นถึงประโยชน์และความเหมาะควรโดยธรรม... จึงจะสามารถวางใจให้เป็นกลางได้ ซึ่งจะต้องเข้าใจในเบื้องต้นว่า การวางใจเป็นกลาง มิใช่อาการเฉยๆ หรือไม่รับรู้อะไรเลย... ใครจะด่าใคร... ใครจะฆ่าใคร อะไรจะเกิดขึ้น ฉันไม่สนใจ ฉันจะอยู่เฉยๆ ของฉันอย่างนี้... ซึ่งนั่นไม่ใช่ ใจเป็นกลาง... แต่เป็นอาการโมหะจิตอย่างหนึ่งที่ติดสยบอยู่กับความไม่รู้อะไรเลย... เป็นการไม่รู้ประโยชน์และความควร ด้วยขาดสติปัญญา มีคนจำนวนมากสำคัญว่า ตนเองมีใจเป็นกลาง วางเฉยได้ หรือเป็นพวกมีสันติธรรมอยู่ในใจ จึงสงบนิ่ง ไม่รู้ร้อนรู้หนาว... พวกนี้เป็นพวกโมฆะชีวิต ดุจเหมือนอยู่ไปวันๆ ยึดหลักชั่วไม่ทำ... แต่ดีก็ไม่สร้าง จึงเป็นการใช้ชีวิตสูญเปล่า เรียกว่า โมฆะชีวิต อยู่ระหว่างพวกทุชีวิตและสุชีวิต... จัดอยู่ในฝ่ายอกุศล ประพฤติตนอย่างไร้ความสามารถ เหมือนคนง่อยเปลี้ยเสียขา สมองฝ่อ...
การวางใจเป็นกลางนั้น จะเกิดขึ้นมีได้ต้องเป็นผู้ที่มีสติปัญญา มั่นคง เข้มแข็ง จึงสามารถทำจิตให้เสมอได้ ซึ่งการทำจิตให้เสมอนั้นจะต้องมีปัญญานำหน้าสติจนรู้เท่าทันอารมณ์ต่างๆ จะสามารถละวางได้ทัน ไม่เข้าไปยึดเหนี่ยวจนเกิดกิเลสรั่วราดจิต ให้เกิดความเศร้าหมอง ไหลวนลงอบาย... การวางใจเป็นกลางจึงต้องมีสังวรธรรมเป็นเครื่องอยู่อาศัยด้วยศีล สติ ปัญญา ขันติ และวิริยะ ที่เรียกว่า สังวรธรรม ๕ ประการ จนสามารถดำรงอยู่ในอุเบกขาธรรมได้อย่างมีดุลยภาพ ที่ให้จิตใจมั่นคงอยู่ในพรหมวิหารธรรม ไม่ไปสู่อคติธรรม... อันจะนำไปสู่การคิด พูด ทำ ใดๆ ที่ไม่เป็นโทษ... ไม่เป็นภัย ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ที่สำคัญจะต้องมีขันติธรรมสูงมาก หมายถึงมีความอดทนอดกลั้นต่ออารมณ์ที่ชอบและชัง ไม่หวั่นไหวตาม จึงสามารถคิดอ่านทำการใดๆ ได้อย่างมีความยุติธรรม... ประกอบตนอยู่ในความเที่ยงธรรม ท่ามกลางความหลากหลายของสังคม เป็นที่พึ่งของหมู่ชนได้ เพื่อทำให้เกิดความถูกต้องชอบธรรมขึ้นในสังคม
การวางใจเป็นกลาง จึงไม่ใช่การไม่ยุ่ง ไม่เกี่ยวข้องในเรื่องราวใดๆ ... แต่กลับต้องใส่ใจในทุกเรื่องราวที่เห็นว่า ตนเองสามารถทำให้เกิดประโยชน์ต่อผู้อื่นได้ และไม่เสียประโยชน์ตน อันได้แก่ คุณความดี... ซึ่งสังคมต้องการบุคคลที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ หากมีในหมู่ชนใดก็ย่อมเป็นที่พึ่งของหมู่ชนนั้น... สังคมในปัจจุบันขาดแคลนบุคคลที่มีใจเป็นกลาง ด้วยอำนาจแห่งอคติธรรม ที่ควบคุมจิตจนสูญเสียความเสมอแห่งจิต สังคมจึงก้าวสู่ความวุ่นวายมากไปด้วยปัญหา ดังที่ปรากฏเป็นอยู่ในปัจจุบัน
สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมบ้านเราก็คงมีสาเหตุโดยรวมตามที่กล่าวมา หากจะให้สังคมสงบนิ่งดำเนินไปในทิศแห่งความเจริญ... ทุกคนในสังคมจะต้องช่วยกันปฏิรูปตนเอง โดยเปลี่ยนแปลงแนวคิดที่ยึดถืออำนาจวัตถุนิยมเป็นสรณะ กลับมาหาธรรมเป็นสรณะ ด้วยการเข้าถึงพระรัตนตรัยอย่างถูกต้อง สมฐานะพุทธบริษัทในพระพุทธศาสนา ก็จักสามารถเปลี่ยนผ่านสังคมสู่สันติสุขได้อย่างเป็นธรรมดา
การศึกษาเพื่อชีวิต จะต้องถูกปฏิรูปเป็นอันดับแรก โดยจะต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องตรงกันว่า เราจะจัดวางหลักธรรมศึกษาเพื่อพัฒนาชีวิตไปสู่ผู้มีคุณธรรมอย่างไร !? การจัดระบบองค์กร การปฏิรูปบุคลากรในองค์กรการศึกษาเพื่อชีวิต ซึ่งรวมถึงองค์กรศาสนจักรและอาณาจักร จะต้องได้รับการปฏิรูปไปพร้อมๆ กัน เพราะถือได้ว่าเป็นองค์กรขับเคลื่อนสังคมให้เป็นไปอย่างมีคุณธรรมที่มีบทบาทสำคัญที่สุด ได้แก่ วัดและโรงเรียน...
... ที่สำคัญ หากจะต้องปฏิรูปสังคม เพื่อกำหนดทิศทางพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน โดยการมุ่งเน้นการพัฒนาชีวิตให้มีความรู้และคุณธรรม คงจะต้องเชิญชวนพุทธศาสนิกชนพันธุ์แท้ ช่วยกันหันกลับมามองสถาบันศาสนา ว่า ถึงเวลาหรือยัง ที่จะต้องสังคายนา... เพื่อจัดความเรียบร้อยให้เกิดขึ้นในหมู่สงฆ์ จะต้องถือประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตรงตามพระธรรมวินัยอย่างเสมอกัน เพื่อความเป็นเอกภาพขององค์กร/สถาบันศาสนา ที่จะตั้งรับภาระยกระดับจิตวิญญาณของคนในสังคมให้สูงขึ้น เพื่อการขับเคลื่อนภาคสังคมไปสู่ความเจริญโดยธรรมอย่างแท้จริง... ซึ่งสังคมไทยเราสามารถทำได้... ศักยภาพทุกด้านยังสมบูรณ์พร้อมที่จะปฏิรูป... รอเงื่อนไขเดียว คือ การหลอมรวมอุดมการณ์ชาวไทยให้เป็นเอกภาพ มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน... ไม่แตกแยกอย่างที่เป็นอยู่ ทุกอย่างก็ย่อมจะทำได้... ความสำเร็จย่อมรออยู่เบื้องหน้า ให้ทุกคนหาญกล้าเพียรชอบเดินเข้าไปหา เพื่อให้ถึงความสำเร็จตามความประสงค์... เพียงแต่สละความเห็นแก่ตัว... วางความคิด การกระทำที่ผิดๆ เพี้ยนๆ ไป... กลับคืนสู่ความเป็นชาวไทย ที่อุดมสมบูรณ์ด้วยศีลธรรม... อะไรๆ ก็ไม่ใช่ปัญหาอุปสรรค หากก้าวข้ามพ้นการยึดมั่นถือมั่นในตนเองไปได้
ขอเจริญพร


