ซีเรีย ความทรงจำก่อนสงคราม
ประเทศซีเรียหรือสาธารณรัฐอาหรับซีเรีย ประเทศที่ในเวลานี้คงไม่มีใครไม่รู้จักแล้ว
ประเทศซีเรียหรือสาธารณรัฐอาหรับซีเรีย ประเทศที่ในเวลานี้คงไม่มีใครไม่รู้จักแล้ว เพราะความรุนแรงของสงครามกลางเมือง ที่ยืดเยื้อมากว่า 2 ปี ได้คร่าชีวิตผู้คนไปไม่ต่ำกว่า 1 แสนคน แต่ย้อนกลับไปในปี 2552 ที่ผ่านมา ก่อนสงครามจะปะทุขึ้น ประเทศนี้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งปลายทางในฝันของนักท่องเที่ยวทั่วโลก
ซีเรียเป็นดินแดนอารยธรรมที่มีความเก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพราะมีการขุดค้นพบซากอารยธรรมในสมัยเมโสโปเตเมีย และยังมีการค้นพบหลักฐานที่นำไปสู่การแสดงให้เห็นว่าดินแดนแห่งนี้ มีผู้คนตั้งรกรากอาศัยอยู่อย่างต่อเนื่องและยาวนานที่สุดในโลก นั่นก็คือที่เมืองหลวงกรุงดามัสกัส ซึ่งเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ของผู้นับถือศาสนาอิสลาม เป็นลำดับที่ 4 รองจากนครมักกะฮ์ เมืองมะดีนะฮ์ และเยรูซาเลม ตามลำดับ
มัสยิดอุมเมยาด (Umayyad) คือ ศาสนสถานที่สำคัญที่สุดของซีเรีย มีขนาดใหญ่และเก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สร้างเสร็จสมบูรณ์ราวปี 715 เป็นที่เคารพทั้งจากชาวมุสลิมนิกายซุนนีย์ นิกายชีอะฮ์ และชาวคริสเตียน เพราะส่วนหนึ่งของมัสยิดแห่งนี้ สร้างคร่อมมหาวิหารเซนต์ จอห์น แบ็บติสต์ ดังนั้นมัสยิดแห่งนี้จึงเป็นศาสนสถานสำคัญที่หลอมรวมผู้คนชาวซีเรีย ที่แม้จะนับถือต่างนิกายและต่างศาสนาให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ณ เวลานั้น
กรุงดามัสกัสก่อนสงคราม ดูสวยงามและสะอาดตา บ่งบอกถึงการพัฒนาเข้ากับโลกยุคสมัยใหม่ ผู้คนชาวซีเรียเองในเวลานั้น ก็เปิดรับการเข้ามาของชาวต่างชาติ ไม่มีวี่แววถึงความขัดแย้งเลยแม้แต่น้อยทำให้ในเวลานั้น กรุงดามัสกัสเป็นอีกหนึ่งปลายทางของชาวต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ามาศึกษาภาษาอารบิก ซึ่งมีนักศึกษาจากประเทศไทยจำนวนไม่น้อย ก็เลือกที่จะเข้ามาศึกษาด้านภาษาอารบิกที่นี่ ด้วยเหตุผลเรื่องของมาตรฐานสถาบันการศึกษา ค่าครองชีพไม่สูงและรวมไปถึงภาษาอารบิกที่ใช้ในประเทศซีเรียนั้น เป็นภาษาอารบิกมาตรฐาน ที่นิยมใช้ในหลายประเทศทั่วโลก
240 กิโลเมตรทางตอนเหนือของกรุงดามัสกัส ท่ามกลางทะเลทรายแห้งแล้ง เป็นที่ตั้งของแหล่งอารยธรรมโบราณที่สำคัญของซีเรีย นั่นก็คือเมืองโบราณพาล์มีร่า (Palmyra) มีอายุเก่าแก่มากกว่า 2,000 ปี ถูกสร้างขึ้นตามคำบัญชาของพระนางซิโนเบีย (Queen Zenobia) สตรีคนแรกๆ ของโลกที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นกษัตริย์หญิง ซึ่งตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ ระบุว่า พระนางซิโนเบียมีสิริโฉมงดงามและยังมีความฉลาดปราดเปรื่องในการปกครองอาณาจักรอีกด้วย
คำว่า พาล์มีร่า มาจากภาษาอาราเมอิก (Aramaic) ภาษาที่เชื่อกันว่า เคยใช้ในการสื่อสารอย่างแพร่หลาย ในยุคสมัยเมื่อครั้งพระเยซูยังมีพระชนม์ชีพ ปัจจุบันมีเพียงเมืองมาลูล่า (Maaloula) เพียงแห่งเดียวเท่านั้น ที่ยังมีการรักษาภาษานี้ไว้อยู่ การเดินสำรวจเมืองพาล์มีร่านั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีพื้นที่กว้างใหญ่ ประมาณ 120 เอเคอร์ ประกอบไปด้วยกลุ่มอาคารต่างๆ ซึ่งหลงเหลือเพียงซากเสาคานไว้เท่านั้น แต่ยังมีอาคารที่สมบูรณ์ที่สุดหลงเหลืออยู่ คือ อาคารโรงละคร ที่โครงสร้างเกือบทั้งหมดยังคงอยู่ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นลานแสดง เวทีและอัฒจันทร์ แม้ว่ากาลเวลาจะล่วงเลยมากว่า 2,000 ปีแล้วก็ตาม
ในช่วงเวลาที่เราเดินทางไปนั้น คือ ในปี 2552 ทราบมาว่าเป็นปีแรกที่โรงแรมรอบๆ เมืองพาล์มีร่า ถูกจองเต็มหมดทุกแห่ง จากกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งจากอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ อันเนื่องมาจากโครงการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคต่างๆ เริ่มแล้วเสร็จ เพื่ออำนวยความสะดวกธุรกิจด้านการท่องเที่ยว ยิ่งตอกย้ำเราว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศซีเรีย กำลังมีอนาคตสดใสรออยู่ข้างหน้า แต่จนบัดนี้ เป็นระยะเวลากว่า 2 ปี ยังไม่มีใครล่วงรู้ว่า สงครมกลางเมืองจะยุติได้อย่างไร ซึ่งนับวันจะยิ่งรุนแรงและมีหลายประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น การเดินทางไปประเทศซีเรียครั้งนั้น จึงเป็นความทรงจำที่มีความสวยงาม และมีคุณค่ากับเราอย่างยิ่ง ต่อให้สงครามสงบ ประเทศซีเรียคงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เพราะความสวยงาม และความรุ่มรวยทางอารยธรรม บัดนี้ได้ย่อยยับไปกับอานุภาพการทำลายล้างของกระสุนปืนและระเบิด


