สิ่งดีๆ ที่ได้จาก...หนังสือแมว
เคยมีคนกล่าวไว้ว่า มนุษย์เราต่างมีคุณสมบัติของความเป็นแมวอยู่ในตัวเอง บางอารมณ์เราจึงต้องการอยู่ตามลำพังเพื่อใช้เวลาครุ่นคิดเรื่องราว
โดย...ตุลย์ จตุรภัทร
เคยมีคนกล่าวไว้ว่า มนุษย์เราต่างมีคุณสมบัติของความเป็นแมวอยู่ในตัวเอง บางอารมณ์เราจึงต้องการอยู่ตามลำพังเพื่อใช้เวลาครุ่นคิดเรื่องราว หากคำกล่าวดังกล่าวโยงใยถึงช่วงเวลาช่วงหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เราอยากหยุดพักจากสังคมวุ่นวาย อยากเอนกายนอนอ่านหนังสือดีๆ สักเล่มที่ช่วยทำให้เราได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง
“หนังสือแมว” น่าจะเป็นคำตอบที่ดีคำตอบหนึ่ง
เมื่อความเป็นแมวที่มีอยู่ในตัวเราผนวกเข้ากับหนังสือแมวที่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา มีมากมายหลายเล่มหลายรูปแบบ ทั้งไทยทำและไทยแปลวางอยู่บนแผงหนังสือ จนลากยาวมาเป็นกระแสในปีนี้ ยิ่งทำให้เกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า ทำไมช่วงเวลาที่เราได้อยู่ตามลำพัง เราถึงควรอ่านหนังสือแมว และในฐานะผู้อ่าน เราจะได้สาระสำคัญอะไรจากหนังสือแมวที่มีมากมายบนแผงหนังสือบ้าง
นับจากนี้ไป เรามีคำตอบ
เหตุเกิด ณ ตุลาคม 2556
ไม่น่าเชื่อว่า เดือน ต.ค. 2556 ที่ผ่านมา จะกลายเป็นเดือนแจ้งเกิดของหนังสือแมวจำนวนถึง 4 เล่มด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น “จับแมวสองมือ Cat me if you can” เรื่องและภาพโดย อโณทัย องกิตติกุล จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Yellow Yaimai / “เหมียวอินเจแปน” เรื่องและภาพโดย จิราภรณ์ วิหวา และ สลิลา มหันต์เชิดชูวงศ์ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Polkadot / “บ๊อบ แมวเตะฝันข้างถนน A Street Cat Named Bob” เขียนโดย เจมส์ โบเวน แปลโดย ธิดารัตน์ เจริญชัยชนะ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Springbooks และ “Cat Story เหมียวสุดฮาของเสี่ยวซี” เรื่องและภาพโดย เสี่ยวซี แปลโดย ลูกเป็ดขี้เหร่ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์
หรือว่าเราจะแอบสถาปนาให้เดือน ต.ค. เป็นเดือนแห่งแมวแห่งประเทศไทยซะดีมั้ยเนี่ย?
ชีวิตแมว เหมือนไม่มีอะไร กลับมี...
“วีชอบเวลาได้ลูบขนแมว หรือเวลาเล่นกับแมวค่ะ ท่าทางตลกๆ ของมันทำให้เราหายเครียดได้ ยิ่งเวลาแมวนอนหงาย วีจะชอบเอามือไปลูบพุงเล่น (หัวเราะ)”
นี่อาจเป็นคำกล่าวน่ารักๆ ของเจ้าของหนังสือจับแมวสองมือ Cat me if you can ซึ่งเธอเป็นคนเลี้ยงแมวตัวจริงเสียงจริงที่อยากถ่ายทอดเรื่องราวของเธอกับแมวออกมาเป็นเรื่องและภาพ โดยเหตุผลที่เธอตัดสินใจทำหนังสือเล่มนี้ เป็นเพราะเธอเห็นหนังสือการ์ตูนแมวของต่างประเทศที่มีเยอะแยะมากมาย เธอเลยอยากมีหนังสือที่คนไทยเขียนและวาดภาพเองขึ้นมาบ้าง
“แต่จุดประสงค์แอบแฝงคือหาค่าอาหารและค่าหมอให้แมวค่ะ (หัวเราะ) ตอนที่กำลังลงมือทำต้นฉบับก็แอบคิดว่าจะมีเรื่องให้เขียนเยอะมั้ย แต่พอได้ลงมือทำ เรื่องราวต่างๆ ก็ไหลออกมาเอง ทั้งประสบการณ์เดิมและประสบการณ์ใหม่ จนออกมาเป็นหนังสือเล่มนี้”
วี หรือ อโณทัย เผยว่า เธอมีความฝันที่อยากจะมีหนังสือที่ตัวเองทำสักเล่มมาตั้งแต่เด็กแล้ว หนังสือแมวเล่มนี้จึงเป็นบันทึกเล่มเล็กๆ ที่อยากให้ทั้งคนที่เลี้ยงแมวได้อ่านแล้วหัวเราะ และอาจจะได้ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงแมวเล็กๆ น้อยๆ กลับไป หรือคนที่ไม่ชอบแมวเลยมาอ่านแล้วอาจจะมองแมวในแง่มุมที่ดีขึ้น
“ใครจะเชื่อว่าชีวิตเล็กๆ ของแมวที่ดูเหมือนไม่มีอะไร กลับให้อะไรเราได้อย่างเหลือเชื่อ ให้ทั้งเสียงหัวเราะ ให้ทั้งข้อคิดที่ว่า ในเมื่อเราเกิดมาเป็นคน เวลาเจอปัญหาเราเอาวิถีแมวมาใช้สิ มีสมาธิ ตั้งใจ และสนุกกับปัญหานั้น เดี๋ยวก็คลี่คลายไปจนได้”
อ่านแล้วมีความสุข...เหมือนเกาพุงแมวอยู่ที่บ้าน
จากเพื่อนร่วมงานในสายกองบรรณาธิการนิตยสารอะเดย์ที่เลี้ยงแมวเหมือนกัน ชอบความไม่สนโลกและเอาแต่ใจของแมว และชอบการที่แมวสามารถทำตัวอยู่เหนือการควบคุมได้เหมือนกัน รวมทั้งสามารถจองตั๋วไปญี่ปุ่นในราคาโปรโมชั่นได้ นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ เต้ จิราภรณ์ และบี สลิลา ตัดสินใจไปเที่ยวญี่ปุ่นเป็นเวลานานถึง 14 วันเต็ม
“เราตัดสินใจไปเที่ยวทั้งโตเกียวและเมืองไกลๆ รวมทั้งเมืองที่มีเกาะเล็กๆ ที่แมวอยู่เยอะแยะ จากจุดนี้ทำให้เราปิ๊งไอเดียขึ้นมาว่า งั้นเราไปเที่ยวตามรอยแมวกันดีกว่า เพราะยังไงเราก็อยากลองไปคาเฟ่แมว ไปย่านแมวกันอยู่แล้ว ก็เลยเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับแมวในประเทศญี่ปุ่น ทั้งในแง่สถานที่และวัฒนธรรม แล้ววางแผนการเดินทางค่ะ”
ทั้งเต้และบีเผยว่า การมีเป้าหมายบางอย่างในการเที่ยว ทำให้เธอทั้งคู่ได้เจอสิ่งที่หลากหลายขึ้น “เราได้ดั้นด้นไปเมืองแปลกๆ ขึ้นรถไฟไปที่ที่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติไป ได้สื่อสารกับคุณป้าที่จูงแมวมาช็อปปิ้ง และได้ทำอะไรหลายอย่างที่คงไม่ได้ทำถ้าไม่ได้ตั้งธงแบบนี้ ซึ่งมันทำให้เราได้สัมผัสกับวัฒนธรรม วิถีชีวิต และความเชื่อแบบญี่ปุ่นผ่านเรื่องแมวๆ”
แม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะจัดอยู่ในหมวดท่องเที่ยว แต่ทั้งเต้และบีต่างก็ยืนยันว่านี่ไม่ใช่ไกด์บุ๊กแนะนำคาเฟ่แมว ย่านแมวในโตเกียว หรือพาเที่ยวพิพิธภัณฑ์โดราเอมอน แต่นี่เป็นหนังสือที่ได้เล่าสิ่งที่ทั้งคู่ได้เห็นได้เข้าใจจากการเดินทาง ได้เห็นเมืองเล็กๆ ที่ไม่มีใครสนใจสร้างมูลค่าให้เมืองด้วยแมว ได้เข้าใจว่าทำไมคิตตี้ถึงกลายเป็นคาแรกเตอร์ยอดฮิตระดับโลก ได้เข้าใจวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นในเมืองใหญ่ผ่านการไปคาเฟ่แมว รวมทั้งได้เห็นความละเอียดอ่อนของเจ้าของกับสัตว์เลี้ยงจากการได้ไปเยี่ยมสุสานแมว “ถ้าเรื่องเหล่านี้ช่วยเปิดมุมมองใหม่ๆ ให้กับคนอ่านได้บ้างไม่มากก็น้อย ก็เป็นเรื่องที่เรายินดีมากค่ะ”
ทั้งเต้และบีต่างทิ้งท้ายข้อคิดสำคัญเอาไว้ว่า สำหรับคนรักแมว การได้เห็นอะไรแมวๆ มันก็สร้างความสุขเหมือนเราได้เกาพุงแมวที่บ้านนั่นแหละ “แต่ในแง่ที่ลึกไปกว่านั้น เราอาจจะเข้าใจแมวที่เราเลี้ยงมากขึ้น อาจจะได้แรงบันดาลใจจากการอ่านเรื่องราวของคนกับแมว อาจจะอยากออกเดินทางท่องเที่ยว อาจจะอยากเลี้ยงหมา หรือเราอาจจะอยากทำดีต่อโลกใบนี้มากขึ้นค่ะ”
ว่าด้วยเรื่องของการได้ค้นหาคุณค่าแห่งชีวิตจนเจอ
จากนักข่าว ผู้ประกาศข่าว นักแสดง พิธีกร และดีเจ ปัจจุบัน ตี้ ธิดารัตน์ ได้ผันตัวมาเป็นนักเขียนและนักแปลอิสระอย่างเต็มตัว ทำให้เธอได้เรียนรู้ว่าโลกแห่งการเขียนและการแปลทำให้เธอได้ค้นพบสิ่งดีๆ ให้แก่ชีวิตอย่างมากมาย รวมทั้งการได้แปลหนังสือเล่มหนึ่ง ว่าด้วยเรื่องของ เจมส์ โบเวน อดีตคนเร่ร่อนหาเช้ากินค่ำในกรุงลอนดอน ที่ได้เจอ บ๊อบ แมวสีส้ม ในปี ค.ศ. 2007 และนับจากวันนั้นทั้งคู่ไม่เคยแยกจากกันเลย
“ก่อนอื่นตี้ต้องบอกก่อนว่าไม่ได้เลี้ยงแมว แถมยังกลัวแมวเสียด้วยซ้ำไป เพราะมีเรื่องที่ไม่ค่อยดีเกี่ยวกับแมวฝังใจมาตั้งแต่เด็ก แล้วตี้ก็ไม่เคยอ่านหนังสือแมว หรือทำอะไรเกี่ยวกับแมวเลย แต่พอสำนักพิมพ์ยื่นข้อเสนอว่า เราสนใจแปลหนังสือเล่มนี้มั้ย พอเราลองเอาต้นฉบับมาอ่านดู แล้วก็ได้ค้นพบว่า นี่ไม่ใช่หนังสือที่ว่าด้วยเรื่องราวของแมวหรือเคล็ดลับการเลี้ยงแมว แต่มันคือหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องของการค้นหาคุณค่าของการใช้ชีวิตจนพบเจอ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่มนุษย์ควรได้ค้นหาและได้พบเจอ ตี้เลยตัดสินใจแปลค่ะ ซึ่งใช้เวลาในการแปลเร็วมาก แค่ 2 เดือนเอง เพราะยิ่งอ่านยิ่งแปลยิ่งอินยิ่งมัน (หัวเราะ)”
ธิดารัตน์ เผยว่า สาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้คือหัวใจสำคัญที่ทำให้คนที่เลี้ยงแมวและไม่ได้เลี้ยงแมวสามารถอ่านแล้วรับสารเดียวกันได้
“คนที่ไม่ได้เลี้ยงแมว อ่านแล้วจะได้แง่คิดอะไรบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไป ส่วนคนที่รักแมว อ่านแล้วยิ่งรักแมวเข้าไปใหญ่ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อเราอ่านแล้ว เราจะรักตัวเองมากขึ้น เมื่อเรารักตัวเองได้แล้ว เราจะรักคนอื่นเหมือนที่เรารักตัวเอง เหมือนที่เจมส์มีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป จากคนที่เห็นแก่ตัว ไร้อนาคต มาเป็นคนที่รู้จักรักตัวเองและรักคนอื่นเป็น นี่คือเสน่ห์ของหนังสือเล่มนี้ค่ะ”
ที่แน่ๆ ธิดารัตน์ เผยว่า เราทุกคนจะค้นพบมุมอ่อนโยนของตัวเองได้อย่างไม่น่าเชื่อ และมันจะเป็นมุมอ่อนโยนที่ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หนังสือแมว...หนังสือสากลที่ใครๆ ก็อ่านได้
จากเจ้าของบล็อกสัตว์เลี้ยงสุดฮิตในจีน http://blog.sina.com.cn/se7enhappy ที่ได้สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจนทำให้มีคนเข้ามาดูกว่า 2 ล้านคลิก นี่จึงเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้เรื่องราวแบบแมวๆ ของเสี่ยวซี นักวาดภาพประกอบและคุณครูสอนวาดภาพประกอบสำหรับเด็ก ณ มณฑลเหลียวหนิง เมืองเฉิ่นหยาง ประเทศจีน กลายเป็นหนังสือการ์ตูนอารมณ์ดีที่มีเคล็ดลับและสาระน่ารู้แบบน่ารักๆ สอดแทรกอยู่ตลอดทั้งเล่ม
นี่จึงเป็นจุดที่ทำให้สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ตัดสินใจซื้อลิขสิทธิ์หนังสือเล่มนี้มาแปล โดย กุลภา หวลกระสินธุ์ บรรณาธิการเล่ม (ผู้ที่เคยเลี้ยงแมวสมัยยังเป็นเด็กๆ) เผยกับเราว่า นี่เป็นหนังสือแมวที่อ่านแล้วสนุกปนซึ้ง อีกทั้งผู้เขียนมีสไตล์การวาดที่ไม่ซ้ำแบบใครในไทย
“เสี่ยวซีได้เขียนเรื่องราวกวนๆ ของตนกับก๊วนแมวเหมียวที่เลี้ยงไว้เป็นตอนๆ อ่านสนุกมาก ชวนติดตาม รูปถ่ายแมวก็น่ารัก ภาพการ์ตูนก็วาดน่ารักน่าชังมากๆ ยิ่งอ่านยิ่งมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ”
ในฐานะบรรณาธิการเล่ม กุลภา เผยว่า เธออ่านหนังสือเล่มนี้แล้วได้มุมมองใหม่ว่า แมวไม่ใช่ของเล่น ใครจะเลี้ยงแมวก็ต้องรักเขาให้ได้จริงๆ ร่วมสุขร่วมทุกข์ไปด้วยกันให้ตลอดรอดฝั่ง ทุ่มเททุกอย่าง ทิ้งขว้างไม่ได้ เบื่อไม่ได้“มันคือความละเอียดอ่อนโยนที่ต้องจริงจังเหมือนดูแลเด็กคนหนึ่งเลย ในมุมของแมว เขาคงอยากให้เรารักเขาให้สุดๆ อยากสำคัญในสายตาเราเสมอ ส่วนมุมของคน คนเลี้ยงจะได้เรียนรู้และเติบโต ฝึกความรับผิดชอบ แบ่งเวลา เอาใจใส่ในรายละเอียด อาจรวมไปถึงบริหารเงินๆ ทองๆ ด้วยนะคะ ไม่ต่างอะไรกับการดูแลคนในครอบครัวเลย อาจเวอร์ไปหน่อย แต่แมวเป็นตัวช่วยที่ทำให้คนเต็มคน แกร่งขึ้นได้เหมือนกันค่ะ”
สิ่งที่ผู้อ่านจะได้รับจากหนังสือเล่มนี้ กุลภา เผยว่า ที่ได้ไปแน่ๆ คือ อ่านแล้วมีความสุข มองโลกในแง่ดี“คนที่ไม่เคยเลี้ยงแมวจะได้เห็นการร่วมทุกข์ร่วมสุขของคนรักแมวกับแมว เห็นโลกกว้างขึ้น เห็นอีกหลายชีวิตที่ยังต้องการการดูแล จนอาจเกิดแรงบันดาลใจอยากหาแมวมาเลี้ยง ไม่ว่าจะซื้อมาหรือรับดูแลแมวจร ส่วนคนที่เลี้ยงแมวอยู่แล้ว จะได้มุมมองใหม่ๆ ของคนรักแมว แลกเปลี่ยนประสบการณ์อย่างเข้าอกเข้าใจ อินไปกับความสนุกแกมซึ้ง ได้ข้อมูลเทคนิคการเลี้ยงแมวเพิ่มขึ้น เพราะมีเคล็ดลับต่างๆ แทรกท้ายบทค่ะ ถึงนักเขียนเป็นคนจีน แต่การเลี้ยงแมวเป็นอารมณ์สากลที่ใครๆ ก็อ่านได้ค่ะ”


