สนประดับการปลูกเลี้ยง/ดูแลรักษา (2)
สนซึ่งเราพบเห็นกันอยู่ในท้องตลาดของประเทศไทย มีขนาดแตกต่างกันเป็นอย่างมาก เราอาจพบในรูปไม้กระถางขนาดเล็ก แบบบอนไซ
โดย ม.ล.จารุพันธ์ ทองแถม
สนซึ่งเราพบเห็นกันอยู่ในท้องตลาดของประเทศไทย มีขนาดแตกต่างกันเป็นอย่างมาก เราอาจพบในรูปไม้กระถางขนาดเล็ก แบบบอนไซ หรืออาจวางจำหน่ายในรูปไม้ถุงขนาดเล็ก ซึ่งเกิดจากการตัดปักชำเป็นจำนวนมากลงในแปลง (พื้นนาซึ่งยกแปลงปักชำสูง 68 นิ้ว) เป็นการปักชำสนจำนวนมาก ชนิดของสนอาจเป็นสนจีน สนมังกรพันธุ์ต่างๆ ซึ่งเป็นที่นิยมของบรรดานักจัดสวนทั่วประเทศ พื้นที่ขยายพันธุ์สนโดยการปักชำนี้มักอยู่ในเขตอำเภอรอบนอกของเชียงใหม่ เป็นสถานที่ที่มีดินดี ร่วนซุย อุดมสมบูรณ์ และมีสภาพอากาศค่อนข้างเย็นในเวลากลางคืน ซึ่งกิ่งปักชำสนจะเติบโตออกรากอย่างรวดเร็ว พร้อมที่จะย้ายลงถุงพลาสติก (ถุงดำ) เพื่อจำหน่ายต่อไป
สนที่วางจำหน่ายมีหลายขนาด หลากหลายรูปทรง ทั้งเป็นพุ่มกลม ทรงสูงคล้ายเสาหรือทรงเจดีย์ยอดแหลมกลม ซึ่งใช้ปลูกในสวนขนาดต่างๆ หรืออาจปลูกลงในภาชนะขนาดใหญ่ เพื่อตั้งประดับตามลานบ้าน ตามเฉลียง
สนประดับมีหลากหลายสี แต่ละพันธุ์ล้วนเป็นพืชที่มีใบเขียวตลอดปี ไม่ทิ้งใบดังเช่นพืชอื่นอีกหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากกระทบอากาศหนาวเย็น เช่นในฤดูหนาวปี 2556 นี้ ความหลากหลายของสนประดับทำให้นักจัดสวนสามารถกำหนดโครงสร้างและสีสันให้กับสวนได้ตลอดปี อีกข้อซึ่งเป็นความได้เปรียบของสนก็คือ ความมีน้ำอดน้ำทน ปลอดโรค ปลอดแมลงศัตรูพืช (เป็นส่วนใหญ่) จะว่าปลอดเสียล้านเปอร์เซ็นต์นั้นเป็นเรื่องเหลวไหลเลอะเทอะทางการโฆษณา
ส่วนใหญ่เราใช้ประโยชน์จากสนประดับในรูปต้นไม้เด่นหรือไม้หลักของสวน อาจปลูกต้นเดียวโดดๆ เพื่อความสง่างาม (Specimen Tree) หรืออาจปลูกร่วมกันเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 369 ต้นก็ได้ หรืออาจปลูกเป็นป่าหากมีพื้นที่กว้างขวางพอ แต่สำหรับต้นไม้เด่นหรือไม้หลักแล้วรูปทรงต้นเป็นเรื่องสำคัญที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากจะปลูกเป็นฉากหลังให้โดดเด่นแล้ว จะต้องมีความสวยงามพอจะเป็นจุดเด่นของสวน
การใช้ประโยชน์ที่สำคัญอีกประการของสนก็คือการใช้เป็นรั้ว (Hedging) และไม้บังลม (Windbreaks) มีสวนหลายชนิดที่เหมาะแก่การปลูกเพื่อจุดประสงค์ดังว่า แต่อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องพิจารณาเรื่องของอัตราการเจริญเติบโตและความสูงในระยะสุดท้าย สนบางประเภทมีอัตราการเติบโตที่ช้ามาก เช่น สนยิว (สกุล Taxus) จากยุโรป สนสกุลไซเพรส (Cupressus) นั้นเติบโตรวดเร็ว และปลูกทำเป็นรั้วได้ดีและจำเป็นต้องมีการตัดแต่งทรงพุ่มอยู่ทุกปี สนสาหร่ายทอง (Chamaecyparis Obtusa) สนสกุลจูนิเปอร์ (Juniperus) เช่น สนไต้หวัน สนทอง สนทรายทอง สนญี่ปุ่น เหล่านี้ปลูกเป็นไม้เด่นเป็นฉากหลังได้ดี เช่นเดียวกับสนใบพาย (Podocarpus) ซึ่งปลูกเป็นรั้วได้เป็นอย่างดี หรือจะปลูกเป็น Specimen Plant ในกระถางขนาดใหญ่ก็ได้
ดินที่เหมาะสมกับสนประดับ
ในสภาพป่า เช่น ในภูฏาน อินเดีย ไต้หวัน หรือในพม่า (คำว่าเมียนมาร์นั้นผู้เขียนเห็นว่าเป็นเรื่องทางราชการ) เช่นเดียวกับร่างกุ้ง (Rangoon) ซึ่งใครจะกลับไปเรียกว่ายองแกน (Yongan) ก็เชิญเถอะครับ สนในป่าเขมักพบตามพื้นดินที่แห้ง ดินเลว มีแต่กรวด หิน ดินแห้งแล้ง ในฤดูร้อน ดังนั้นโดยทั่วไปสนประดับจึงมีความทนทานต่อดินที่มีการระบายน้ำได้สะดวกรวดเร็ว แต่เป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ อย่างไรก็ตามสนประดับก็เช่นเดียวกับไม้ยืนต้นออกดอกอื่นๆ คือจะเติบโตได้ดีที่สุด เมื่อได้รับอินทรียวัตถุ เช่น ใบไม้ผุพังที่ร่วงหล่นปกคลุมผิวดินอยู่ ซึ่งจะค่อยๆ สลายตัวปล่อยธาตุอาหารออกมา นอกจากนี้ใบไม้ผุพังช่วยรักษาความชื้นในดิน ทำให้การเติบโตเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ ไม่ชะงักการเติบโตหรือทิ้งใบทิ้งกิ่ง อย่างไรก็ตามสนเกือบทุกชนิดไม่ชอบดินแฉะ ดินน้ำขัง เว้นแต่คุณอยากจะปลูกสนไซเพรสที่ขึ้นอยู่ตามบึงในเอเวอร์เกลดส์หรือหลุยเซียนา สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นสนที่ชอบน้ำเท่านั้น
การปลูกเลี้ยง
เราควรปลูกสนลงพื้นที่ในสวน เมื่อย่างเข้าฤดูฝนเท่านั้น (ในเมืองไทยเราอาจปลูกสนลงดินได้ในเดือน พ.ค.-มิ.ย. ซึ่งเป็นระยะที่ได้ฝนค่อนข้างจะแน่ (ในความไม่แน่นอนของสภาพอากาศปัจจุบัน))
การเตรียมดินในแปลงควรทำโดยการกำจัดวัชพืชข้ามปีออกให้หมด และขุดหลุมกว้างยาวลึกประมาณ 50-60 เซนติเมตร นำดินก้นหลุมแยกกองไว้ทางหนึ่งและแยกดินผิวไว้คนละกอง นำเอาดินผิวมาผสมกับอินทรียวัตถุ เช่น ใบไม้ผุ ทรายหยาบ แกลบผุ ขี้วัวที่ผ่านการหมักจนหมดความร้อนและปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ (15-15-15 NPK) ประมาณ 1.5 กิโลกรัมต่อหลุม คลุกเคล้าให้ดีก่อนใส่ดินผิวปรับปรุงแล้วลงไปที่ก้นหลุม ส่วนดินชั้นล่าง (ก้นหลุม) นั้นต้องนำมาตากแดดและปรับปรุงสภาพความเป็นกรดด่าง และเพิ่มอินทรียวัตถุให้ก่อนจะใช้ปลูกพืชได้ การปรับสภาพความเป็นกรดด่างนี้เป็นเรื่องสำคัญ สนส่วนใหญ่ต้องการพีเอช ประมาณ 5.56.5 ซึ่งมีสภาพความเป็นกรดอ่อน


