กินอย่างสง่า
หนูดีเป็นคนชอบอ่านหนังสือมากๆ แต่ไม่ค่อยมีโอกาสได้มารีวิวหนังสือดีๆ ให้กับแฟนๆ คอลัมน์สักเท่าไหร่
โดย...หนูดีวนิษา เรซ
หนูดีเป็นคนชอบอ่านหนังสือมากๆ แต่ไม่ค่อยมีโอกาสได้มารีวิวหนังสือดีๆ ให้กับแฟนๆ คอลัมน์สักเท่าไหร่ วันนี้ เลยขอถือโอกาสรีวิวหนังสือสุขภาพดีๆ 2 เล่ม ที่หนูดีเพิ่งได้มาจากงานสัปดาห์หนังสือรอบเดือน ต.ค.ที่เพิ่งผ่านมานี้ ซึ่งอ่านแล้วเพลิ้น เพลิน แต่ละหัวข้อเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ได้ความรู้ใหม่ๆ ในเรื่องใกล้ๆ ตัวเยอะทีเดียวค่ะ
หนังสือสองเล่มที่ว่านี้ คือ กินอยู่อย่างสง่า และ กินถูก สุขสง่า
ทั้งสองเล่ม เขียนโดยอาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ซึ่งเรียนจบด้าน วท.บ. วิทยาศาสตร์การอาหาร จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ Master’s of Community Nutrition จากมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย มีหลายตำแหน่งการทำงานก่อนเกษียณ เช่น ผู้จัดการศูนย์ประสานงานโภชนาการสมวัย สสส. และกรมอนามัย นักวิชาการสาธารณสุข กรมอนามัย วิทยากร นักเขียน ฯลฯ
สองเล่มนี้ เป็นหนังสือที่มีบทความเล็กๆ เกี่ยวกับสุขภาพ ร้อยเรียงเป็นหนังสือเล่มไม่โตมาก แต่เต็มไปด้วยสาระอัดแน่น หนูดีอ่านไปเรื่อยๆ ได้ความรู้ทั้งใหญ่และเล็กมาใช้เยอะเลยค่ะ หลายหัวข้อ ก็ขอยืมอาจารย์ไปจัดรายการ ณ คลื่น MET107 กับดีเจปูเป้ในตอนเช้าๆ อีกด้วย
หนูดีเองเคยขึ้นเวทีบรรยายร่วมกับอาจารย์เมื่อหลายปีมาแล้วในประเด็น “นมแม่” เพราะหนูดีเองเป็นเด็กที่ถูกเลี้ยงด้วยนมแม่ล้วนๆ ไม่เจือน้ำเปล่า ใน 6 เดือนแรกของชีวิต ซึ่งอาจารย์สง่าเอง ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนมแม่ และลูกๆ ของอาจารย์ก็รับประทานนมแม่กันทุกคน
ในยุคของหนูดีนั้น การกินนมแม่ ไม่ใช่เรื่องอินเทรนด์แบบทุกวันนี้ การที่คุณแม่ของหนูดีไม่ยอมให้หนูดีรับประทานนมผง และไม่ยอมให้รับประทานน้ำเปล่าเลยในหกเดือนแรกของชีวิตนั้น โดนต่อต้านจากผู้คนรอบข้างพอสมควร เพราะว่า “มันดูแปลก” โดยเฉพาะการที่ลิ้นของหนูดีเป็นฝ้าขาวจนดูน่าเกลียด เพราะเมื่อรับประทานนมแม่แล้วก็ไม่มีการให้รับประทานน้ำเปล่าล้างปากใดๆ ทั้งสิ้น แต่ในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับแล้วว่า เด็กที่ดื่มนมแม่ ไม่ควรดื่มน้ำเปล่าเพราะนมแม่มีน้ำผสมอยู่แล้ว 80% เด็กที่ดื่มน้ำเปล่าร่วมจึงจะน้ำหนักเพิ่มช้ากว่าถึงประมาณ 11% และนมแม่จะป้องกันการติดเชื้อต่างๆ ในปาก เด็กจึงไม่ควรดื่มน้ำเปล่าตาม ซึ่งผิดกับการดื่มนมผงที่เด็กต้องดื่มน้ำเปล่าล้างปาก ป้องกันอาการติดเชื้อหรือฟันผุ
ในครั้งนั้น อาจารย์สง่า ดูเป็นผู้ชายที่อ่อนกว่าวัย หน้าตาสดใส ร่างกายดูแข็งแรง ครั้งนี้มาเห็นที่หน้าปกหนังสือในวัยเกษียณ หนูดีนึกว่าหนุ่มที่ไหน จำแทบไม่ได้ หนุ่มขึ้นอีกจมเลยค่ะ แปลว่าการดูแลโภชนาการของตัวเรามีผลมากๆ กับร่างกาย ส่งผลแก่เราผู้เป็นคนวัยเกษียณให้คนหนุ่มที่ปล่อยตัวเองให้อ้วนลงพุงต้องได้อายกันเลยทีเดียว
เนื้อหาหนังสือ ทำให้เราได้สติกับเรื่องเล็กๆ เช่น อย่าฝากชีวิตไว้กับไข่เจียว วิธีการกินบะหมี่ซองอย่างฉลาด กินก๋วยเตี๋ยวแบบมืออาชีพ อิ่มท้องแต่พร่องสารอาหาร บริหารงานบริหารพุง ฯลฯ
หนูดีเลือกเรื่อง “อันตรายจากไข่เจียว” มาจัดรายการวิทยุในตอนเช้า เพราะคนรุ่นใหม่ ถ้าไม่รับประทานผัดกะเพราก็รับประทานไข่เจียว ไข่ดาว โดยไม่รู้เลยว่า ไข่เจียวนี่ก็น่ากลัวเหมือนกันนะคะ เพราะไข่หนึ่งฟองถ้าเอาไปต้มจะให้พลังงาน 70 กิโลแคลอรี ไข่ฟองเดียวกันนี้ถ้าเอาไปดาวจะเพิ่มพลังงานมาเป็น 110 กิโลแคลอรี แต่ไข่ฟองเดียวกันหากนำไปทำไข่เจียวแล้วละก็ พลังงานจะพุ่งทะยานไปที่ 200 กิโลแคลอรี เลยทีเดียว
แม่เจ้า นี่มันไข่โปรดของหนูดีเลยนะคะ
อ่านแล้วพานไม่อยากอ่านต่อ เพราะว่ายังอยากรับประทานไข่เจียวอยู่ ซึ่งจริงๆ ก็รับประทานได้หรอกค่ะ แต่ไม่ควรบ่อยเท่านั้นเอง เพราะลองนึกดูสิคะ เราเจียวไข่ เราใส่น้ำมันไป 510 ช้อนโต๊ะ พอเจียวแล้วน้ำมันหายไปหมด เพราะมันเข้าไปผสมกับไข่ ก็เท่ากับเรารับประทานน้ำมันมากขนาดนั้นในหนึ่งมื้อ เรียกว่า มื้อต่อไปรับประทานอาหารปลอดไขมันด่วน อาจารย์สง่าก็เลยแนะนำเมนูน่ารับประทานสำหรับคนรักไข่มาอย่างได้ใจ เห็นแล้วหนูดีลองไปทำตามมาเรียบร้อย อร่อยมากทีเดียวค่ะ เช่น ไข่ตุ๋นไตรรงค์ ที่เอาไข่มา 2 ฟอง แล้วตีกับปลาอินทรีเค็มชิ้นเล็กๆ ยีพร้อมหมูสับนิดหน่อย แครอตหั่นเต๋า มะเขือเทศหั่นเต๋า น้ำไปนึ่ง 810 นาที ออกมาหอมฉุยน่ากิน หรืออาจรับประทานเป็นไข่ต้มยางมะตูม ซอยหอมแดง พริกขี้หนู บีบมะนาว เหยาะน้ำปลา รับประทานพร้อมแตงกวากรอบๆ อร่อยได้ใจ อาหารเมนูเหล่านี้ ปลอดภัยกว่าไข่เจียวที่อุดมไปด้วยน้ำมัน เป็นอีกทางเลือกของคนรักการรับประทานไข่
ส่วนเรื่องที่ผู้ใหญ่ต่างพากันห้ามเด็กๆ แต่ก็ห้ามกันไม่ค่อยไหว คือ เรื่อง “บะหมี่สำเร็จรูป” ยิ่งเข้ามหาวิทยาลัย เป็นเด็กหอ นอนดึก อ่านหนังสือสอบ ตีหนึ่งตีสองไม่มีอะไรกิน หิวจัด ก็ไม่พ้นบะหมี่ซองแน่ๆ ต้มกันในหอนั่นเลย บางทีหิวจัด หรืออยากรับประทานอะไรกรอบๆ มันๆ ก็ฉีกซองออกมาเคี้ยวกันเลย ซึ่งจริงๆ แล้วบะหมี่สำเร็จรูป เราก็รู้กันดีว่า ประโยชน์น้อยกว่าอาหารจริงๆ อยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้รับประทานอย่างปลอดภัยขึ้นอีกนิดและฉลาดมากขึ้นอีกหน่อย อาจารย์สง่าก็ได้มาให้ข้อมูลเพิ่มเติมไว้ว่า เมื่อก่อน กระแสต่อต้านบะหมี่ซองมีมาแรง ดังนั้น ปัจจุบันบะหมี่ซองจึงพัฒนาตัวเองด้วยการเติมสารอาหาร 3 ชนิด คือ วิตามินเอ ไอโอดีน และธาตุเหล็ก ดังนั้น หากเลี่ยงไม่ได้ ต้องรับประทานจริงๆ ก็ให้ผสมเนื้อสัตว์และผักในการปรุง และเลือกยี่ห้อที่ระบุว่าเพิ่มเติมสารอาหารสามชนิดนี้เท่านั้น และฉีกซองเครื่องปรุง ใส่น้ำไม่มาก และซดน้ำให้หมดยิ่งดีเพราะจะได้สารอาหารที่ใส่ไว้ในซองจนครบ
ข้อมูลยังมีอีกมากในหนังสือสองเล่มนี้ ทั้งเรื่องของอาหารสำหรับคนอยากลดพุง อาหารสำหรับคนทำงานหนัก และเรื่องราวของวิตามินอีกมากมาย ที่หนูดีคิดว่า หนังสือที่เขียนโดยคนไทยเล่มนี้ข้อมูลสุขภาพน่าสนใจไม่แพ้หนังสือฝรั่ง พิมพ์โดย สนพ. PeopeMediaBooks ใครสนใจสุขภาพ ลองหามาอ่านดูนะคะ รับรองจะหลงรักแบบที่หนูดีอ่านซ้ำๆ มาแล้วหลายรอบ


