posttoday

“เลี้ยงลูกแบบนักกอล์ฟ”

16 พฤศจิกายน 2556

“โค้ด—พ่อแม่ทำได้เพียงเป็นผู้ให้ข้อมูลที่ดีกับลูกๆ เท่านั้น แต่ชีวิตลูกก็ต้องเป็นของเขา”

โดย...บงกชรัตน์ สร้อยทอง/ภาพ ทวีชัย ธวัชปกรณ์

“โค้ด—พ่อแม่ทำได้เพียงเป็นผู้ให้ข้อมูลที่ดีกับลูกๆ เท่านั้น แต่ชีวิตลูกก็ต้องเป็นของเขา”

การเลี้ยงดูเพื่อสืบทอดกิจการสำหรับ “ศิริพงษ์ อุ่นทรพันธุ์” ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี (AIT) ธุรกิจหลายพันล้านบาทที่เกี่ยวข้องกับออกแบบและรับเหมาวางระบบโครงข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จะยึดแนวอิสระ ชีวิตเป็นของลูก และให้เขาได้ใช้สิทธินี้อย่างเต็มที่ โดยไม่ได้วางกรอบว่าต้องมาสืบทอดธุรกิจบริษัท เพราะพ่อแม่เสมือนแคดดี้ที่แค่ให้คำแนะนำเท่านั้น

“ศิริพงษ์” มีลูกสาวคนกลาง “ศศิเนตร อุ่นทรพันธุ์” (ตาล) เป็นตัวแทนของลูกทั้ง 3 คน มาช่วยงานในบริษัทด้วยความเต็มใจแล้ว เธอเล่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อและลูก แทนพี่ชายคนโต “ศิณะ อุ่นทรพันธุ์” (ต๊อด) นักแสดงหนุ่มที่แจ้งเกิดจากละครน้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ ที่บินไปเรียนปริญญาโทที่ญี่ปุ่น และน้องสาวคนเล็ก “ศิณานางค์ อุ่นทรพันธุ์” (เอ้ย) ที่เรียนปริญญาโทที่อังกฤษ

“เลี้ยงลูกแบบนักกอล์ฟ”

‘ศิริพงษ์’ : ให้อิสระลูกเต็มที่

ครอบครัวเราจะให้อิสระกัน ลูกทั้ง 3 คน จะเรียนอะไรก็แล้วแต่เขา ที่ผ่านมาจะคอยดูตลอดว่าเขาชอบอะไรก็มักจะให้เลือกและตัดสินใจเอง ระหว่างนั้นก็จะประคับประคองให้เขาได้ทำหน้าที่และรับผิดชอบในสิ่งนั้นให้เต็มที่ ไม่เคยที่จะต้องมาเรียนหรือทำตามสิ่งที่ธุรกิจของครอบครัวคือเรื่องเทคโนโลยี ขอให้ทำอะไรก็ได้ที่ตัวเองชอบและมีความสุขไปกับมัน แต่ท้ายสุดขอให้ทำแล้วอย่าลืมคิดที่จะไปต่อยอด หรือสามารถไปทำเป็นธุรกิจได้ในอนาคตด้วย แต่ถ้าลูกเลือกเดินตามที่มันตรงกับงานบริษัทก็จะดีมาก

เรื่องเดียวที่คนเป็นพ่อขอ คือ ต้องเป็นภาษาอังกฤษ เพราะในอนาคตเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากอยากให้เขาได้แนวคิดแบบฝรั่งบ้าง ก็ให้ไปเรียนมัธยมที่ต่างประเทศ แต่มีข้อตกลงว่าเมื่อเรียนปริญญาตรีต้องมาเรียนมหาวิทยาลัยที่เมืองไทย เพราะเขาจะได้มีเพื่อนฝูงและมีสายสัมพันธ์ แล้วหลังจากนั้นก็ไปต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศได้

ครั้งหนึ่งภรรยาเคยเครียดกับลูกชายช่วงวัยรุ่นที่ไม่กลับบ้าน แต่สิ่งที่บอกไปกับภรรยาว่าเครียดเพราะเขาไม่ได้เป็นอย่างที่แม่อยากให้เป็นใช่ไหม อยากให้ลูกกลับบ้าน แต่หากพ่อหรือแม่ไม่เปลี่ยนความคิดและยอมรับในสิ่งที่ลูกเป็น สุดท้ายเราเองที่จะต้องเครียดและทุกข์

“อาจเพราะผมชอบและรักการตีกอล์ฟมาก จึงเลี้ยงลูกเหมือนนักกอล์ฟ ลูกเปรียบเสมือนเป็นนักกอล์ฟที่พ่อแม่ทำหน้าที่เป็นเพียงแคดดี้ที่คอยแนะนำข้อมูลสนามกอล์ฟ ตั้งแต่ระยะหลุม การปักพิน หรือไม้กอล์ฟให้เหมาะสมกับสนาม หรือช่วยแบกอุปกรณ์ไปให้นักกอล์ฟ แต่การจะเป็นนักกอล์ฟมือสมัครเล่นหรือมืออาชีพมันอยู่ที่ผู้เล่นจะเลือกตัดสินใจเอง เพราะสิ่งสำคัญที่สุด คือ เราต้องการให้เขาคิดด้วยตัวเองเป็น”

เมื่อลูกชายชอบเรื่องที่เกี่ยวกับศิลปะ ก็ให้เขาได้เรียนและไปต่อปริญญาโทที่ญี่ปุ่น ลูกสาวชอบเรื่องธุรกิจ ก็ไม่ได้ตั้งเป้าว่าลูกต้องมาสานธุรกิจ เพราะลูกสาวคนเล็กอยากจะทำงานหรือธุรกิจส่วนตัว เมื่อจบปริญญาตรีเขาก็ไปทำงานเป็นผู้ดูแลแบรนด์ของคลับ 21 และตอนนี้ไปเรียนต่อที่อังกฤษ ก็แล้วแต่เขา

ยอมรับว่าแม้ AIT จะมีพื้นฐานเป็นบริษัทธุรกิจครอบครัว แต่ก็มีพันธมิตรทางธุรกิจที่ดีคอยดูแลกันมา และก็ทำงานกันแบบมืออาชีพ เมื่อ “ตาล” จะมาทำงานกับบริษัทก็รู้สึกดีใจและภาคภูมิใจมาก แม้ครอบครัวจะถือหุ้นใหญ่ก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่ตาลต้องทำคือ ต้องพิสูจน์ฝีมือการทำงานให้คนอื่นในบริษัทได้เห็น

“ตาลเข้ามาช่วยงานที่บริษัทมาได้ 3 ปีแล้ว เริ่มจากงานนักลงทุนสัมพันธ์ (IR) 2 ปี ที่ต้องคอยตอบคำถามให้กับนักลงทุนให้ได้ ที่ให้เขาเริ่มจากฝ่ายนี้ เพราะ IR ต้องรู้ทุกเรื่องในบริษัทเหมือนประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ทำให้เขาต้องรู้จักทุกฝ่ายงานเพื่อที่จะได้รู้ข้อมูล และก็เริ่มไปที่ฝ่ายขายได้ 1 ปี เพราะผมเริ่มตั้งบริษัทขนาดนี้ได้จากงานดังกล่าว เห็นจากสิ่งที่เขาทำ เราเชื่อว่าเขาจะสามารถพัฒนาเป็นผู้นำระดับสูงได้ในอนาคต เพราะเขามีพื้นฐาน มีตรรกะ มีเหตุมีผลสูง น่าจะมีหลักในการบริหารบริษัทอย่างมีความสมดุลได้ดี ซึ่งก็ไม่ได้สอนอะไรเขา เอาความเป็นธรรมชาติ ทางสายกลาง หลักเหตุผล การสร้างเครดิตและความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างลูกค้ากับผู้จัดหาสินค้าเป็นสิ่งสำคัญ”

นอกจากนี้ รู้สึกภูมิใจในตาล เพราะเขาจะคอยดูแลพี่ชายตลอดเวลา ทำหน้าที่แทนแม่กับพ่อได้ดี และตอนนี้พี่ชายก็เริ่มเข้าใจและแสดงออกว่าเขาก็รักน้อง จากก่อนหน้านี้เขาจะวัยรุ่นและแนวศิลปิน ไม่ค่อยแสดงออก ก็รู้สึกว่ามันเป็นเวลาที่เหมาะที่เขาก็รักน้องทั้งสองคนมาก

ท้ายสุด “ศิริพงษ์” บอกว่า พ่อแม่ทุกคนรักลูกสุดหัวใจเท่ากันหมด แต่จะให้เวลากับลูกแต่ละคนไม่เท่ากัน เพราะธรรมชาติและนิสัยลูกแต่ละคนไม่เหมือนกัน และตอนนี้กำลังจะทำธรรมนูญของครอบครัวขึ้นมา เพื่อทำธุรกิจอะไรขึ้นมาสำหรับครอบครัว แล้วลูกคนไหนอยากทำธุรกิจส่วนตัวอะไรก็ไปทำแล้วเอาเงินจากกองนี้ รายได้หรือปันผลที่ได้จากองนี้รับตามสัดส่วนของตัวเองที่ถืออยู่ ทั้งนี้ไม่ได้มองว่าลูกจะต้องมีปัญหาเรื่องเงินทองหรือการไม่สามัคคีกันในอนาคต แต่เราตั้งขึ้นมาเพื่อให้เขายังผูกพันกันไปตลอดสำหรับ 3 คนพี่น้อง

ตาล : พ่ออยู่เคียงข้างเสมอ

ตั้งแต่เล็กจนโตจำได้ว่าพ่อแม่ไม่เคยบังคับให้ตาลหรือพี่น้องต้องทำอะไรอย่างที่ท่านต้องการเลย ท่านให้อิสระเต็มที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม แต่เราทุกคนกลับต้องการที่จะเดินเข้าไปขอคำปรึกษาจากท่านทุกอย่างเองในทุกย่างก้าวที่โตขึ้น

ช่วงที่อยากไปเรียนซัมเมอร์ที่นิวซีแลนด์ก็ตัดสินใจเอง แต่เมื่อไปจริงก็โทรมาอยากให้พ่อกับแม่ไปอยู่ด้วย ถึงขั้นบอกให้ยกบริษัทให้คนอื่นแล้วไปอยู่กับเธอที่นั่น แต่พ่อแม่ก็ทำไม่ได้ เพราะอยากให้เรารับผิดชอบกับการที่เราตัดสินใจและเลือกเอง ผลที่ได้มาคือทำให้รู้สึกมีความรับผิดชอบต่อตัวเอง พร้อมกับช่วยดูแลพี่ต๊อดที่ไปเรียนซัมเมอร์ด้วยกัน

หรือตอนที่เรียนปริญญาตรีบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยมหิดล ภาคภาษาอังกฤษ เอาเข้าจริงตอนจะเลือกเรียนวิชาเอก ไปปรึกษาพ่อ พ่อถามกลับมาว่าชอบอะไร ก็ตอบไปว่าอยากได้เงิน คำแนะนำคือ งั้นไปเรียนเศรษฐศาสตร์ และพอได้เรียนจริงก็รู้สึกชอบและสนุกดี

เมื่อจบปริญญาตรีพ่อก็แนะนำให้ไปทำงานด้านที่เรียนมา 1 ปีก่อน เพราะคุณพ่อเห็นว่าถ้าไปเรียนปริญญาโทต่อเลยจะไม่เห็นและไม่เข้าใจในกรณีศึกษาต่างๆ ที่มักจะต้องถูกหยิบยกขึ้นให้ช่วยกันวิเคราะห์กัน และก็เป็นเรื่องดีที่ทำให้เธอได้รู้ว่าพอทำงานแล้วงานทางการเงินแล้วไม่ได้ตอบโจทย์ความเป็นตัวของเธอเอง และทำให้เธอค้นพบว่าเธอชอบงานทางด้านการตลาดมากกว่า และทำให้มุ่งมั่นไปเรียนต่อปริญญาโทด้านนี้ที่ประเทศอังกฤษ

“ไม่ว่าตาล พี่ชาย หรือน้องสาวจะทำอะไร แม้ท่านให้อิสระแต่ละคนในการคิดและเลือกทำได้เต็มที่แล้ว แต่พวกเราก็เลือกที่จะขอแนวคิดหรือคำแนะนำจากพ่อกับแม่ตลอดเวลาว่า อย่างนั้นอย่างนี้ดีไหม และท้ายสุดท่านก็เคารพในการตัดสินใจของลูกเสมอ และคอยเป็นกำลังใจให้เรารับผิดชอบในหนทางที่เราได้เลือกเองตลอดเวลา เหมือนสอนให้เราเด็ดเดี่ยว แต่พ่อกับแม่ก็ไม่เคยอยู่ห่างเราเลย”

บ้านเราจะให้อิสระกัน ใครจะไปไหนก็ได้ แต่ก็ต้องมีมาเจอหน้ากันบ้างระหว่างครอบครัว ซึ่งก็มีเพียง 34 ปีที่ผ่านมานี้ ที่ลูกๆ ทั้ง 3 คน จะวนกันไปเรียนต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศ และต้องมีคนใดคนหนึ่งอยู่ที่เมืองไทยกับพ่อและแม่ ซึ่งตอนนี้เป็นคิวของตาล แม้เรา 3 คนพี่น้องจะไม่ได้ตกลงหรือเตรียมกันว่า ตอนนี้พี่ต๊อดไป เอ้ยไป หรือตาลไปนะ แต่ลึกๆ มองว่าเป็นจังหวะพอดีที่ใครคงเห็นแล้วว่ามีอีกคนอยู่เป็นเพื่อนพ่อกับแม่แล้วก็ตัดสินใจไปเรียน

“ทุกปีอย่างน้อยเราต้องมีทริปที่ต้องเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกัน 1 ทริป แต่ตอนนี้อาศัยจังหวะที่ไปเยี่ยมพี่ต๊อดที่ญี่ปุ่นบ่อยมาก คิดว่าพอพี่ต๊อดกับเอ้ยกลับมาคงใช้เวลาด้วยกันมากขึ้น ปกติที่บ้านจะชอบไปเที่ยวทะเลด้วยกัน หรือมีปาร์ตี้บ่อยมาก ซึ่งก็จะมีเพื่อนพี่ต๊อด หรือเพื่อนลูกๆ ทุกคนมาร่วมวงด้วยทุกครั้ง โดยเฉพาะเพื่อนพี่ต๊อดจะบอกว่าพ่อเราวัยรุ่นมากเลย แล้วก็ไม่พลาดที่จะชวนพ่อเราเข้าไปในกลุ่มไลน์ของห้องเพื่อนๆ กัน ตอนนี้พ่อกับลูกกลายเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันไป” ตาลเล่า

ข่าวล่าสุด

ญี่ปุ่นเตรียมเดินเครื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใหญ่ที่สุดของโลกอีกครั้ง หลังเหตุฟุกุชิมะ 15 ปี