ย่ำต๊อกกลางสายฝน บนถนนราชดำเนิน
ฝนเดือนตุลาคมเย็นยะเยือกสุดขั้วหัวใจ
โดย...อินทรชัย พาณิชกุล ภาพ คลังภาพโพสต์ทูเดย์
ฝนเดือนตุลาคมเย็นยะเยือกสุดขั้วหัวใจ
ค่ำคืนหนึ่ง ผมเดินย่ำต๊อกกลางสายฝน ไม่มีร่ม ไม่มีเสื้อกันฝน เหมือนพระเอกมิวสิกเพลงเศร้า มุ่งหน้าไปอย่างไร้จุดหมายบนถนนราชดำเนิน ถนนสายประวัติศาสตร์อันขรึมขลัง มากด้วยความทรงจำฝังใจคนรุ่นแล้วรุ่นเล่า
แสงไฟที่สาดส่องมากระทบพื้นถนนช่างงดงาม อดไม่ได้ที่จะคิดถึงประโยคหนึ่งที่กล่าวยกย่องถนนราชดำเนินแห่งนี้ว่าเป็น “ถนนฌองเอลิเซ่เมืองไทย”
กว่า 114 ปีที่แล้ว ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงมีพระราชดำริให้สร้างถนนราชดำเนินขึ้น เพื่อใช้เป็นเส้นทางพระราชดำเนินในการเสด็จไปมาระหว่างพระบรมมหาราชวังกับพระราชวังดุสิต ถนนราชดำเนินแบ่งออกเป็น 3 ตอน ประกอบด้วย ถนนราชดำเนินนอก ถนนราชดำเนินกลาง และถนนราชดำเนินใน ซึ่งสร้างเสร็จสิ้นสมบูรณ์ทั้งหมดในปี 2446
ด้วยความที่เป็นถนนใหญ่ที่กว้างขวาง สวยงามอลังการ ออกแบบโดยได้รับอิทธิพลมาจากถนนฌองเอลิเซ่อันโด่งดังในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ไม่น่าแปลกใจที่ถนนเส้นนี้เป็นที่เชิดหน้าชูตาแขกบ้านแขกเมือง เป็นเส้นทางสำคัญที่บุคคลระดับวีไอพีจากต่างประเทศใช้สัญจรเมื่อเยือนเมืองไทย ขณะที่ในวาระการเฉลิมฉลองที่สำคัญๆ ของประเทศชาติ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ 5 ธ.ค. หรือวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 ส.ค.ของทุกปี รวมถึงวันสงกรานต์และวันขึ้นปีใหม่ ถนนนี้จะได้รับการประดับประดาตกแต่งด้วยแสงไฟสว่างไสวตลอดทั้งสาย
ยิ่งกว่านั้นยังเป็นสถานที่ชุมนุมของชาวไทยผู้รักชาติ ยามบ้านเมืองคับขันหาทางออกไม่ได้ในหลายโอกาส
ถนนราชดำเนินยังเลอเลิศในแง่ของสถาปัตยกรรม ดังที่เห็นได้จากการออกแบบสร้างสะพานผ่านฟ้าลีลาศ อันเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่เชื่อมต่อระหว่างถนนราชดำเนินกลางเพื่อเข้าสู่ถนนราชดำเนินนอก สถานที่ตั้งของสถานที่ราชการหลายแหล่ทั้งทหารและพลเรือน ลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ ซึ่งแต่เดิมเป็นที่ตั้งของโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมไทย อดีตโรงภาพยนตร์ทันสมัยและใหญ่ที่สุดในอุษาคเนย์ ก่อนถูกทุบทิ้งไปในปี 2532 อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกที่คณะราษฎรได้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยเป็นผลสำเร็จ เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2475 โดยมีศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เป็นผู้ออกแบบ
เสากินนรีทั้งสองข้างของถนนราชดำเนิน ไม่นับอาคารตลอดแนวถนนราชดำเนินกลางที่มีกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก หลังคาเป็นดาดฟ้าและจั่ว สูง 34 ชั้น อาคารที่อยู่บริเวณส่วนที่เป็นมุมตัดของถนนจะมีลักษณะของมุขกลม ด้านหน้าอาคารทั้งสี่มุมของแยกหน้าต่างเป็นบานกระจกกรอบไม้มีกันสาดก่อด้วยปูนยื่นออกมาจากด้านบนในทรงเรขาคณิต
ชั้นล่างของอาคารมีประตูทางเข้าเป็นลักษณะบานกระจกกรอบไม้เช่นเดียวกับหน้าต่าง และมีช่องเปิดที่มีลักษณะเพื่อการค้าขายแสดงสินค้า อาคารเหล่านี้ออกแบบโดยสถาปนิกหลายท่าน อาทิ ม.ล.ปุ่ม มาลากุล ใช้เวลาระหว่างปี 2480-2491 ใช้งบประมาณก่อสร้าง 10 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในอดีตที่นี่ยังเป็นย่านราตรีที่สำคัญของพระนคร มีห้องอาหารและบาร์ไนต์คลับให้เริงราตรีหลายแห่ง เช่น มูแลงรูจไนต์คลับ โลลิต้า ห้องอาหารไชยณรงค์ อีกด้วย
แม้จะเกิดไม่ทัน แต่ยังพอได้ยินชื่อคุ้นหูอยู่บ้าง ทว่าคนหนุ่มวัยสามสิบอย่างผม ย่อมจดจำได้มากกว่ากับภาพสถาปัตยกรรมโบราณของกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ ความคึกคักหน้าสนามมวยราชดำเนิน สาวๆ วัยมัธยมในร้านแมคโดนัลด์ หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา สีทองมลังเมลืองของยอดเจดีย์ภูเขาทอง หอศิลป์ผ่านฟ้า อาคารเทเวศประกันภัย เสียงเรียกลูกค้าเซ็งแซ่ของคนขายลอตเตอรี่ที่หน้ากองสลาก อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา อาหารรสเด็ดร้านสกายไฮและศรแดง ที่ตั้งของสำนักพิมพ์สยามรัฐ ไปจนถึงโรงแรมรัตนโกสินทร์
ฝนยังเทกระหน่ำลงมาเบาๆ ขณะที่ผมยังคงเดินต่อไป
ในใจยังงุนงงสงสัยไม่หายว่าถนนประวัติศาสตร์อายุนับร้อยปีแห่งนี้น่ะหรือที่เคยมีประชาชนนับแสนออกมาเดินขบวนเรียกร้องประชาธิปไตย
ถนนเส้นนี้น่ะหรือที่เคยมีเสียงปืน เสียงระเบิดระงมกึกก้อง ปลิดชีวิตแล้วชีวิตเล่าให้หลุดลอย
ไม่มีใครรู้ว่าต่อมาถนนเดียวกันนี้จะกลายเป็นจุดนัดรวมพลของนักปั่นจักรยานในวันคาร์ฟรีเดย์ แม้กระทั่งสนามทดสอบรถฟอร์มูลาวัน!


