ดอกไม้ในทะเลทราย
สัปดาห์หนังสือใกล้เข้ามาแล้วนะคะ ปลายปีนี้สัปดาห์หนังสืออยู่ระหว่างวันที่ 16-27 ต.ค. 2556 ปีนี้ มีหนังสือใหม่ๆ ออกมาที่น่าสนใจมากมาย
โดย...หนูดี วนิษา เรซ
สัปดาห์หนังสือใกล้เข้ามาแล้วนะคะ ปลายปีนี้สัปดาห์หนังสืออยู่ระหว่างวันที่ 16-27 ต.ค. 2556 ปีนี้ มีหนังสือใหม่ๆ ออกมาที่น่าสนใจมากมาย และก็มีหนังสือเก่าๆ ที่เป็นความคลาสสิกที่บางทีเราไม่รู้ บางทีเรามองข้าม ซึ่งของที่ดี ไม่ว่ากี่ปีผ่านไปก็ยังเป็นของดี คงน่าเสียดายหากเราจะมองข้ามไปเพียงเพราะหนังสือเล่มนั้นออกมานานแล้ว
หนูดีเองเป็นครูที่ไม่ค่อยชอบให้ลูกศิษย์ตัวเล็กๆ ดูทีวี เพราะอยากให้เด็กได้ทำกิจกรรมที่แอ็กทีฟมากกว่า เพราะการเรียนรู้พร้อมกับการเคลื่อนไหวย่อมดีกับสมองเด็กเล็กๆ มากกว่า แต่สำหรับเด็กโตแล้ว บางครั้งการให้เด็กดูรายการดีๆ โดยเฉพาะสารคดีดีๆ ก็สามารถให้เด็กได้เรียนรู้ในสิ่งที่เราคงไม่อาจไปเห็นด้วยตาของตัวเองได้
ปกติแล้ว หากเป็นเด็กกลุ่มมัธยมหรือมหาวิทยาลัย การได้ดูสารคดีหรือ Documentary ดีๆ นั้น สามารถนำมาเริ่มการสนทนาในรูปแบบการโต้ตอบ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้ดีมาก เป็นการกระตุ้นการคิดต่าง การแลกเปลี่ยนความเห็นอย่างสันติ และการคิดต่อยอดในเรื่องที่เราไม่เคยได้คิดมาก่อน
สมัยหนูดีเป็นนักเรียนครั้งแรกในวัย 18 ปีที่อเมริกา ต้องยอมรับว่า ตกใจมากที่อาจารย์จะคอยกระตุ้นให้เราคิดไม่เหมือนเพื่อน เหมือนจะยุให้นักเรียนทะเลาะกันหรือเปล่า เพราะแทนที่เราเห็นด้วยกับทุกคนตามประสาเด็กไทยจะเป็นสิ่งดี อาจารย์กลับไม่ชอบ หาว่าเราไม่ “Original” ดังนั้น เมื่อใดเราคิดได้ไม่เหมือนใคร แทนที่จะถูกมองว่า ไม่ดี ทำไมเธอแตกต่าง ทำไมไม่สามัคคี ทุกคนในห้องกลับตั้งใจฟัง แม้แต่คนที่เราบอกว่า “ฉันเห็นต่างไปจากเธอนะในประเด็นนี้” เขาก็กลับพยักหน้าเห็นด้วย เถียงด้วยไอเดียกันในห้องแทบตาย พอเดินออกจากห้องก็ไปทานข้าวกัน วางความเห็นที่แตกต่างกันเอาไว้ บรรยากาศแบบนี้ มันช่างกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และความเป็นตัวของตัวเองได้เป็นอย่างดี
หนูดีเองผ่านบรรยากาศนี้หลายปีติดกันจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของความชอบไปแล้ว ก็เลยมองย้อนกลับไปว่า อะไรบ้างที่อาจารย์ชอบใช้เป็นตัวเริ่มต้นจุดประกายการสนทนาประเภทนี้ นั่นก็คือ Documentary ดีๆ สักเรื่องนั่นเอง
หนูดีเองครูเลือกสารคดีมาให้ดูในห้องเรียนสารพัดเรื่อง เช่น เกี่ยวกับอิสราเอลและจอร์แดน ในสารคดี Hope หรือสารคดีเกี่ยวกับการเกิดเป็นลูกคนเดียวในประเทศจีนว่า มันยากลำบากสาหัสแค่ไหนในการแบกความหวังของพ่อและแม่ไว้บนบ่าของเราคนเดียวในเรื่อง Only Hope รวมถึงเรื่องราวของการเป็นเฟมินิสต์ผ่านการขายตรงรุ่นแรกๆ ในสารคดี Tupperware
หนูดีเองติดการเสพ Documentary ถึงแม้จะไม่ได้ดูบ่อย แต่ก็คอยเสาะหามาเรื่อยๆ ล่าสุด เข้าไปตามดูสารคดีที่หนูดีอ่านหนังสือของเธอมานานแล้ว แต่เรื่องมันเศร้าเกินไป ตอนนั้นเลยไม่กล้าดูสารคดี แต่พอโตขึ้นเลยหามาดู เรื่องนี้ มีชื่อว่า “Desert Flower” หรือ “วาริส ดอกไม้ทะเลทราย” ที่มาจากหนังสือที่เขียนโดยท็อปโมเดลผิวดำของยุค 1980
เธอมาจากทะเลทรายในประเทศโซมาเลีย ชื่อว่า วาริส ดิรี่ (Warris Dirie) ที่มีชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย หนังสือของเธอติดอันดับขายดีและกลายมาเป็นหนังที่สนุก ลุ้น และจบอย่างซาบซึ้ง เธอเป็นนางแบบหญิงผิวดำคนแรกของโลกที่ยอมรับต่อหน้ารายการโทรทัศน์ดังว่า เธอเป็นเหยื่อของการ “ขลิบเพศหญิง” หรือ Female Genital Mutilation (FGM) ตามความเชื่อของศาสนาและสังคมในโซมาเลีย
ซึ่งกระบวนการนั้นโหดร้ายเกินกว่าจะเขียนตรงนี้ และส่งผลร้ายกับเธอตลอดชีวิตที่เหลือ หลังจากนั้น เธอโดนพ่อแท้ๆ ขายให้แต่งงานกับชายอายุ 60 ปี เมื่อเธออายุเพียง 13 เธอจึงหนีออกจากเผ่า แล้วเดินเท้าข้ามทะเลทรายเพียงคนเดียวโดยไม่มีน้ำหรืออาหารติดตัวมาเป็นเวลา 9 วันเต็ม จนไปถึงเมืองหลวง ในที่สุด เธอติดตามญาติมาเป็นคนรับใช้ในลอนดอนเมื่ออายุ 14 ปีเต็ม และหนีเป็นโรบินฮู้ดและทำงานถูพื้นในแมคโดนัลด์ จนช่างภาพชื่อดัง ทอเรนซ์ แมคโดนัล มาค้นพบและชวนไปถ่ายแบบ ชีวิตเธอจึงพุ่งขึ้นจนสูงโดยเป็นซูเปอร์โมเดลผิวดำในยุคของเธอเอง จากนั้น เธอเกษียณตัวเองเพื่อมาทำงานเป็นฑูตของ United Nations ในเรื่องการต่อต้าน FGM
หนัง Desert Flower ของเธอแสดงให้เห็นถึงความทรมานของผู้หญิงที่ถูกกดดันให้ต้องผ่านการผ่าตัดเสี่ยงอันตราย ที่มักทำโดยปราศจากยาชา และทำกันในที่แจ้ง โดยคนที่ไม่ใช่แพทย์ มีผู้หญิง 1 ใน 4 ที่ตายในกระบวนการนี้ เธอเองเป็นลูกสาวคนเดียวที่รอดชีวิต โดยพี่สาวของเธอทั้ง 2 คน ตายหมดจากการติดเชื้อบนเตียงผ่า และอีกคนตายเมื่อคลอดลูกเพราะผลของ FGM
เรื่องราวแบบนี้ เราคงไม่มีโอกาสรู้ได้ หากเราไม่ได้เกิดและเติบโตในสังคมนั้น ซึ่งเราอาจเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย สิ่งนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล แต่ส่วนที่น่าสนุกก็คือ สารคดีดีๆ แบบนี้ นอกจากเปิดโลกของเราแล้ว ยังกระตุ้นสมองเราให้คิดแตกต่าง บางคนเห็นด้วยและสงสารเธอ บางคนไม่เห็นด้วยว่าเธอทรยศวัฒนธรรมของตัวเอง เราคิดต่างกันได้
แต่ก็ยังเป็นเพื่อนกันได้เสมอ ปัจจุบัน วาริส ดิรี่ อายุ 38 ปี มีครอบครัวและลูก เธอทำงานเต็มที่ในฐานะฑูตยูเอ็นในเรื่องนี้
ใครไปเดินสัปดาห์หนังสือในปีนี้ ลองแวะไปหา “วาริส ดอกไม้ทะเลทราย” มาอ่านนะคะ แปลมาหลายปีแล้ว แต่ยังคลาสสิกเสมอ ส่วนใครอยากดูหนังของเธอ ลองหา Trailer ดูใน YouTube ก่อนได้ เฉพาะ Trailer 2 นาที ก็น้ำตาไหลแล้วล่ะค่ะสำหรับคนใจอ่อนๆ
ส่วนปลายปีนี้ หนูดีมีหนังสือเล่มใหม่ออกหนึ่งเล่ม และมีที่ตีพิมพ์เป็นครั้งที่ 3 อีกหนึ่งเล่ม เล่มใหม่คือ “Brain Power 3 คู่มือ 365 วันสู่การเป็นนักเรียนเกรดเอบวก” ซึ่งเป็นคู่มือจัดระเบียบชีวิตนักเรียน นักศึกษาให้ได้เกรดเอ เกรด 4 และเรียนจบได้ด้วยเกียรตินิยม ของแบบนี้ ไม่ไกลเกินฝันหากเราพยายามเสียอย่าง แถม DVD อ่านเร็ว จำแม่น Speed Reading และSuper Memory ด้วยค่ะ
ส่วนอีกเล่มคือ “อัจฉริยะสร้างสุข” ฉบับปรับปรุง แถมสมุดจด Dreams&Goals Journal เป็นของขวัญปีใหม่ และหากใครไปงานหนังสือ หนูดีจะไปแจกลายเซ็นในวันอาทิตย์ที่ 20 ต.ค.นี้ ณ บูธ นายอินทร์ เวลา 13.00-14.00 น. ค่ะ แล้วพบกันนะคะ


