กัมมัสสกตาปัญญา
เรื่องของกรรมนั้นคนบางคนก็เชื่อบางคนก็ไม่เชื่อ แต่ความจริงก็คือ ความจริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเชื่อ
เรื่องของกรรมนั้นคนบางคนก็เชื่อบางคนก็ไม่เชื่อ แต่ความจริงก็คือ ความจริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเชื่อ กรรมนั้นผู้ใดทำแล้ว เมื่อเหตุปัจจัยถึงพร้อมก็จะได้รับผลของกรรมที่ตนกระทำไว้ เรื่องของความบังเอิญจึงไม่มี เพียงเพราะการที่เราทำดี หรือ ทำชั่ว แล้วยังไม่ได้รับผลของการกระทำนั้นในทันที หรือแม้แต่ในชั่วเวลาหลายเดือน หลายปี หรือภายในชั่วชีวิตนี้ มิได้หมายความว่ากรรมเหล่านั้นจะสิ้นสุด
การทำกรรมนั้นมีหลากหลาย กรรมจึงมีลักษณะพิเศษหลายอย่าง กรรมดีบางประเภททำแล้วให้ผลเลย เช่น มรรคและผล กรรมดีบางประเภทต้องรอเหตุปัจจัยถึงพร้อม เหมือนการเพาะเมล็ดพืช ต้องได้ดินที่ดี และรอฝนตก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้กระทำกรรมจะไม่ได้รับผล จริงอยู่กรรมบางอย่างมีระยะเวลาการให้ผล เมื่อไม่สามารถให้ผลก็ย่อมจบลง เช่น กรรมที่จะให้ผลในชาติปัจจุบัน เมื่อไม่มีโอกาสให้ผลก็สิ้นสุดลง
แต่โดยทั่วไปแล้ว การกระทำกรรมครั้งหนึ่งๆ จะมีจิตเกิดขึ้นหลายขณะและจะให้ผลในเวลาต่างกัน คือ มีทั้งส่วนที่สามารถให้ผลในปัจจุบันชาติ ส่วนที่ให้ผลนำเกิดในชาติต่อไป และส่วนที่สามารถตามให้ผลในชาติถัดจากนั้นไปอีก และติดตามไปได้อีกนานถ้าผู้นั้นยังไม่ปรินิพพานไปเสียก่อน เมื่อใดที่มีสภาพเหมาะสม เรียกว่า กรรมได้ช่อง คือ ได้เหตุปัจจัย เปรียบเหมือนเมล็ดพืชที่รอวันงอก ได้รับฝนและดินที่เหมาะสม จากเมล็ดเล็กๆ ก็สามารถงอกขึ้นมาเป็นต้นไม้ ผลิดอกออกผลได้นั่นเอง
กรรมเป็นนามธรรม เมื่อยังไม่ให้ผลจึงอาจเปรียบได้เสมือนกับสุนัขที่วิ่งตามเนื้อ เมื่อสุนัขยังวิ่งไม่ทันเนื้อนั้นก็ไม่มีความเจ็บปวดแต่ประการใด เมื่อใดที่สุนัขจับได้ไล่ทัน ก้อนเนื้อมันก็ได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน หรืออาจถึงความพิการ ความตายก็มี การทำกรรมครั้งหนึ่งๆ นั้น ไม่ว่าจะเป็นกรรมที่ทำทางกาย วาจา หรือใจ กว่ากรรมดี หรือ กรรมชั่ว จะสัมฤทธิผล ก็เกิดจิตขึ้นมากมาย แล้วแต่ว่าจะเป็นกุศลจิต (ในการทำดี) หรือ อกุศลจิต (ในการทำชั่ว) ดังนั้น ผลของกรรมแม้ทำเพียงครั้งหนึ่ง หากส่งผลย่อมมีผลมากมาย เพราะจิตเกิดดับอย่างรวดเร็ว จึงไม่แปลกที่จะได้พบว่า กรรมนำเขาไปเกิดในอบาย (ผลของกรรมชั่ว) หรือ ในสวรรค์ (ผลของกรรมดี) แล้วยังได้รับเศษกรรมอีกนับเป็นร้อยๆ ชาติ เป็นต้น
ในทางพระพุทธศาสนา กล่าวถึง ปัญญา คือ ความรู้ความเห็นที่ถูกต้อง เกี่ยวกับกรรมไว้ใน กัมมัสสกตาปัญญา คือ ปัญญาที่รู้เห็นความที่สัตว์มีกรรมเป็นสมบัติของตน
กัมมัสสกตาปัญญา มี 10 ประการ คือ
1.ปัญญารู้เห็นว่า ทานที่บุคคลให้แล้ว ย่อมมีผล (อตฺถิทินฺนํ)
2.ปัญญารู้เห็นว่า การบูชาย่อมมีผล (อตฺยิฏฐํ)
3.ปัญญารู้เห็นว่า การบวงสรวงเทวดา ย่อมมีผล (อตฺถิหุตํ)
4.ปัญญารู้เห็นว่า ผลวิบากของกรรมดีและชั่วมีอยู่ (อตฺถิกมฺมานํ ผลํวิปาโก)
หมายถึง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5.ปัญญารู้เห็นว่า โลกนี้มีอยู่ (อตฺถิอยํโลโก)
หมายถึง ผู้จะมาเกิดนั้นมี
6.ปัญญารู้เห็นว่า โลกหน้ามีอยู่ (อตฺถิปโรโลโก)
หมายถึง ผู้จะไปเกิดนั้นมี
7.ปัญญารู้เห็นว่า มารดามีอยู่ (อตฺถิมาตา)
หมายถึง การทำดี ทำชั่วต่อมารดาย่อมจะได้รับผล
8.ปัญญารู้เห็นว่า บิดามีอยู่ (อตฺถิปิตา)
หมายถึง การทำดี ทำชั่วต่อบิดาย่อมจะได้รับผล
9.ปัญญารู้เห็นว่า โอปปาติกสัตว์นั้นมีอยู่ (อตฺถิ สตฺตโอปปาติกา)
หมายถึง สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เทวดา พรหมนั้นมี
10.ปัญญารู้เห็นว่า สมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ประกอบด้วยความรู้ยิ่ง เห็นจริงประจักษ์ซึ่งโลกนี้และโลกหน้าด้วยตนเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้นั้น มีอยู่ในโลกนี้ (อตฺถิ โลเกสมณพฺรหฺมณา สมฺมาปฏิปนฺนา)
กัมมัสสกตาปัญญา นั้นเป็นเรื่องความรู้ ความเข้าใจในธรรม หรือที่เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นที่ถูกที่ตรงกับความเป็นจริงในเรื่องของกรรมนั่นเอง ผู้ใดรู้อย่างนี้ว่า ทานที่ให้แล้วมีผล การบูชาพระรัตนตรัยมีผล โลกนี้มีอยู่ โลกหน้ามีอยู่ มารดามีคุณ บิดามีคุณ สัตว์ผู้จุติและปฏิสนธิมีอยู่ สมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ รู้ยิ่งเห็นจริงประจักษ์ซึ่งโลกนี้และโลกหน้าด้วยตนเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ทั่วกัน มีอยู่ในโลกนี้ ดังนี้ นี้เรียกว่า กัมมัสสกตาญาณ
ผู้ที่มีความเห็น มีความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องกรรมนั้นย่อมมี หิริโอตตัปปะ คือ ละอาย และเกรงกลัวต่อการทำบาป และปรารภในการสั่งสม คุณงามความดี เพราะกรรมใดใครก่อ ผู้นั้นย่อมได้รับผล ... เมื่อเหตุปัจจัยถึงพร้อมนั่นเอง


