‘วิน พรหมแพทย์’ มือบริหารเงินของ ‘มนุษย์เงินเดือน’
วิน พรหมแพทย์” วัย 37 ปี หัวหน้ากลุ่มลงทุน สำนักงานประกันสังคม (สปส.) กับภารกิจบริหารพอร์ตเงินลงทุนประกันสังคม 1.1 ล้านบาท
โดย...ชีวรัตน์ กิจนภาธนพงศ์
“วิน พรหมแพทย์” วัย 37 ปี หัวหน้ากลุ่มลงทุน สำนักงานประกันสังคม (สปส.) กับภารกิจบริหารพอร์ตเงินลงทุนประกันสังคม 1.1 ล้านบาท ของผู้ประกันตนกว่า 10 ล้านคน เขาเป็นนักเรียนทุนรุ่นแรกของประกันสังคม ที่ส่งตรงเพื่อบริหารเงินลงทุน
ภายหลังเรียนจบโครงการเศรษฐศาสตรบัณฑิตภาคภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เริ่มงานแรกเป็น “บัณฑิตอาสาสมัคร” โครงการของ ศ.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ไปสอนหนังสือเด็กชาวเขาที่ลำปางอยู่เกือบปี จากนั้นสอบได้ทุนรัฐบาลคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ตามความต้องการของ สปส. ไปเรียนปริญญาโทด้านการเงิน ถือว่าเป็นนักเรียนทุนรุ่นแรก
“ผมเลือกไปเรียนคณะบริหารธุรกิจที่ Erasmus University เนเธอร์แลนด์ มหาวิทยาลัยที่ผลิตบัณฑิตชื่อดังอย่าง “ศุภชัย พานิชภักดิ์” และ “พิสิฐ ลี้อาธรรม” หลักสูตรนี้ใช้เวลาเรียนปีครึ่ง จบกลับมาทำงานใช้ทุนเป็นข้าราชการเต็มตัวที่สำนักบริหารการลงทุน สปส. ตั้งแต่ปี 2545 จริงๆ คือต้องใช้ทุน 3 ปี แต่นี่ก็อยู่มา 11 ปีแล้ว” วิน กล่าว ตอนที่เขาเข้าเริ่มงานที่สำนักบริหารการลงทุน สปส. ปี 2545 มีเงินลงทุนให้บริหาร 1.5 แสนล้านบาท 5 ปีถัดมาเพิ่มเป็น 5 แสนล้านบาท จนถึงต้นปี 2556 เงินลงทุนก็ทะลุหลัก 1 ล้านล้านบาท เป็นครั้งแรก
90% ของเงินนี้เป็นเงินออมของผู้ประกันตน 11 ล้านคน ที่ทีมงานมีหน้าที่นำไปลงทุนให้เกิดดอกผลเพื่อรองรับภาระการจ่ายบำเหน็จหรือบำนาญชราภาพในอนาคต
เรื่องที่น่าท้าทาย คือ ไม่ใช่แค่เงินลงทุนที่โตขึ้นเท่านั้น การลงทุนยังมีความซับซ้อนขึ้นตามลำดับ
“ทีมงานลงทุนที่ สปส.เก่งมาก และผู้บริหารในอดีตก็วางรากฐานไว้ดีมาก แต่เราคงหยุดอยู่แค่เงินฝากหรือพันธบัตรไม่ได้ เมื่อนักเรียนทุนรุ่นแรกอย่างผมกลับมาทำงาน จึงเป็นการเสริมทีมที่มีอยู่ ให้เราค่อยๆ ขยายไปลงทุนในหุ้นกู้เอกชน หุ้นสามัญ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ จนถึงการลงทุนในต่างประเทศ ได้หลากหลายมากขึ้น”
นอกจาก “วิน” ทำงานประจำที่ สปส.แล้ว ยังเป็นอาจารย์พิเศษสอนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสอนหลักสูตรภาษาอังกฤษในระดับปริญญาโทที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค)
จุดเริ่มต้นการเป็นอาจารย์พิเศษมาจากท่าน รศ.สิริลักษณา คอมันตร์ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันที่ลาไปเรียนต่อที่เนเธอร์แลนด์ รศ.สิริลักษณา บอกกับเขาว่า “เรียนจบให้กลับมาช่วยสอนที่โครงการเศรษฐศาสตรบัณฑิตภาคภาษาอังกฤษ”
เมื่อเรียนจบกลับมาเริ่มทำงานที่ สปส. และสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไปพร้อมกัน สอนทุกเทอมช่วงเช้าวันเสาร์ 09.0012.00 น.
วิน เล่าว่า การสอนหนังสือเป็น “งานอดิเรก” ที่ทำแล้วมีความสุข เป็นการฝึกตัวเองให้รู้จักอธิบายเรื่องยากๆ ให้คนอื่นฟังเข้าใจง่าย และบังคับตัวเองให้ต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา เพราะนักศึกษายุคนี้ฉลาดมาก อาจารย์ก็ต้องฉลาดตามไปด้วย
ทุกวันนี้ “วิน” ถูกบริษัทเอกชนทาบทามไปร่วมงานอยู่เนืองๆ แต่เหตุผลที่ยังคงทำงานอยู่ที่ สปส. เพราะเขาเชื่อว่าโชคดีที่ได้ทำงานที่ตัวเองรัก คือ งานด้านการลงทุน ซึ่งมีคนเพียงส่วนน้อยในโลกนี้ที่จะมีโอกาสทำงานที่ตนเองรัก เมื่อรักงานด้านนี้ ก็จะมีความสุข และมีความปรารถนา
“เสน่ห์ของงานด้านการลงทุน คือ จะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ เพราะเราต้องคอยวิเคราะห์อยู่ตลอดเวลาว่า ธุรกิจนั้นดีอย่างไร ประเทศนั้นดีอย่างไร ทำไมถึงน่าลงทุน ฯลฯ แล้วความสนุกของงานด้านนี้ คือ เราได้วิเคราะห์ ได้ตัดสินใจลงทุน และได้เห็นผลการตัดสินใจของเราด้วย”
นอกจากนั้นเขายังได้รับโอกาสและได้รับความไว้วางใจจากผู้บริหาร ให้ทำงานที่ยากและท้าทายมากขึ้นตามลำดับ จนต้องเตือนตัวเองเสมอว่า ทุกครั้งที่ถูกมอบหมายงาน ถือว่าได้รับความไว้วางใจ จึงต้องทำงานเต็มที่ ให้สมความไว้วางใจ
ที่สำคัญที่สุด คือ ภูมิใจที่ได้ทำงานกับทีมงานที่เก่งมาก ทุกวันนี้ทีมงานลงทุนมี 55 คน มีทั้งข้าราชการรุ่นพี่ที่มีความชำนาญในงานหลัก มีนักเรียนทุนรุ่นเด็กๆ ที่มาช่วยต่อยอดการลงทุนที่ซับซ้อน และมีพนักงานด้านการลงทุนที่มาเสริมทีม เนื่องจาก สปส.มีอัตรากำลังของข้าราชการไม่เพียงพอ
สิ่งที่ท้าทายทุกวันนี้ คือ มีเงินที่ต้องบริหารมากขึ้น จะซื้อแต่พันธบัตรก็ได้ดอกเบี้ยน้อย จึงต้องนำไปลงทุนในหลักทรัพย์อื่นที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น หุ้น อสังหาริมทรัพย์ โครงสร้างพื้นฐาน หรือสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งในและต่างประเทศ ต้องมองไปข้างหน้าเสมอ คิดตลอดเวลาว่า หากวันหนึ่งจะต้องส่งทีมไปประจำที่ลอนดอนเพื่อดูแลการลงทุนที่นั่น จะมีความพร้อมหรือไม่
งานบริหารเงินเป็นงานที่ต้องใช้ “คน” ล้วนๆ หน้าที่ในวันนี้ คือ พัฒนาทีมงานลงทุนให้เก่งขึ้นเรื่อยๆ สร้างทีมน้องๆ ทั้งที่เป็นข้าราชการและพนักงานด้านการลงทุนให้เป็น “มืออาชีพ” ด้านการลงทุนอย่างแท้จริง
บิดาและมารดาของ “วิน” ทำงานธนาคาร ซึ่งบิดาจากไปแล้วเมื่อกว่า 10 ปีก่อน ทำให้เขาต้องอยู่กับมารดาซึ่งกำลังมีความสุขกับการใช้ชีวิตหลังเกษียณ ...
“คุณแม่เป็นแบบอย่างของคนที่ทำงานอย่างซื่อสัตย์สุจริต เพราะท่านทำงานอยู่กับเงินทุกวันจนเกษียณอย่างมีเกียรติและไม่มีประวัติด่างพร้อย ซึ่งผมคิดว่าถ้าเราจะสอนใครโดยใช้คำพูด มันอาจจะไม่ศักดิ์สิทธิ์เท่ากับการทำตัวเองเป็นแบบอย่างให้ดู .. คุณแม่จึงสอนผมโดยใช้ตัวเองเป็นแบบอย่าง” ...
เรื่องหนึ่งที่ครอบครัวสอนเขาตั้งแต่ยังเด็ก คือ การเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน และให้เกียรติเพื่อนร่วมงานทุกคน สอนให้คิดว่าองค์กรเปรียบเสมือนเครื่องจักร อุปกรณ์ทุกชิ้นมีความสำคัญอย่างเท่าเทียมกัน ขาดไปชิ้นหนึ่งเครื่องจักรก็ทำงานไม่ได้ จึงต้องให้เกียรติทุกคน
สิ่งที่ผมได้จากบิดา คือ การเป็นคนจิตใจดี มองโลกในแง่ดี นิ่งๆ เงียบๆ และอ่อนน้อมถ่อมตน ส่วนที่ติดมาจากมารดา คือ นิสัยประหยัดอดออม
“ผมภูมิใจที่สุดที่ได้เป็นข้าราชการ และภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมงานเล็กๆ ที่ทำงานบริหารเงินให้ประชาชนครับ อันนี้น่าจะเกิดจากการที่ผมเคยเป็น “บัณฑิตอาสาสมัคร” ได้เห็นความยากจนและความลำบากของคนไทยในชนบท บวกกับการระลึกอยู่เสมอว่า ผมไปเรียนหนังสือมาด้วยเงินภาษีของประชาชน ลึกๆ แล้วผมจึงภูมิใจที่งานที่เราทำทุกวันสร้างผลประโยชน์ให้กับคนมากถึง 11 ล้านคน ให้ได้มีเงินใช้หลังเกษียณครับ” บริบททิ้งท้ายของข้าราชการหนุ่ม
‘ข้าราชการมืออาชีพ’ ในนิยามของ ‘วิน’
ประการแรก ต้องเชี่ยวชาญในงานอาชีพนั้นอย่างแท้จริง – เมื่อรู้ตัวว่าต้องทำงานบริหารกองทุน จึงขวนขวายไปสอบ Chartered Financial Analyst (CFA) ซึ่งเป็นหลักสูตรเฉพาะทางด้านการลงทุนที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก และไปสอบกฎหมายและจรรยาบรรณผู้จัดการกองทุน จนปัจจุบันได้รับใบอนุญาตให้เป็นผู้จัดการกองทุน และที่น่ายินดีคือ ทีมงานลงทุนของ สปส.ได้สอบผ่าน CFA และได้ใบอนุญาตแล้วหลายคน ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ได้เพราะถูกบังคับ เนื่องจาก สปส.ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แต่เป็นเพราะงานต้องแข่งขันกับเอกชน และต้องการยกระดับมาตรฐานของทีมงานให้ทัดเทียมกับระดับสากลให้ได้
ประการที่สอง ต้องหมั่นศึกษาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ – ต้องไม่คิดว่าการมีปริญญาโทหรือสอบผ่าน CFA แล้วแปลว่าเก่งแล้ว แต่ตลาดการเงินมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงต้องขวนขวายอ่านหนังสือ หาความรู้ และพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา
เขาฝึกจนเป็นนิสัยว่าต้องอ่านหนังสือทุกวัน ได้อ่านสักครึ่งชั่วโมงก่อนนอนก็ยังดี แล้วทีมงานลงทุนก็มี “ความใฝ่รู้” อยู่ในตัวกันทุกคน มีประชุมแบบสบายๆ เดือนละครั้ง ให้แต่ละคนเอาความรู้ที่ได้อ่านหรือได้ฟังสัมมนามา มาสรุปย่อให้เพื่อนฟัง สลับกับการเชิญพี่ๆ จากสถาบันการเงินหรือผู้จัดการกองทุนมาบรรยายให้ความรู้
ประการที่สาม ต้องซื่อสัตย์สุจริต เขาสอนลูกศิษย์และทีมงานรุ่นน้องเสมอว่า “งานบริหารกองทุนจำเป็นต้องอาศัยความน่าเชื่อถือ หรือความไว้วางใจจากเจ้าของเงิน ซึ่งความไว้วางใจนี้ต้องใช้เวลาสะสมตลอดชีวิต และเป็นสิ่งที่เปราะบางมาก หากเงินหมด ยังหาใหม่ได้ แต่หากความไว้วางใจหมดไป ไม่สามารถเรียกคืนมาได้ ดังนั้นในฐานะผู้บริหารกองทุนซึ่งเป็นเงินของประชาชน เงินส่วนตัวของเขาจึงไม่ลงทุนในหุ้นเลย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อครหาในเชิงความขัดแย้งทางผลประโยชน์
เขานำเงินออมไปซื้อกองทุนรวมทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องดี เพราะมีเวลาทั้งหมดทุ่มเทกับการบริหารเงินของคนอื่นได้อย่างเต็มที่


