เคาะโต๊ะ ... งานประมูลศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 1
อีกไม่นานแล้ว คนไทยผู้มีใจรักศิลปะจะได้สัมผัสกับบรรยากาศการประมูลผลงานศิลปะครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์นั่นคือ งานประมูลศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 1
โดย...อินทรชัย พาณิชกุล ภาพ ไม่เครดิต
อีกไม่นานแล้ว คนไทยผู้มีใจรักศิลปะจะได้สัมผัสกับบรรยากาศการประมูลผลงานศิลปะครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์นั่นคือ งานประมูลศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 1 จัดโดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ถือเป็นครั้งแรกของการประมูลงานศิลปะระดับชาติที่มีหน่วยงานภาครัฐเป็นโต้โผใหญ่
บรรยากาศการแข่งขันเสนอราคาอย่างดุเดือด บรรดานักสะสมชูมือสลอน ก่อนจะสิ้นสุดลงด้วยเสียงค้อนทุบโต๊ะเปรี้ยงชี้ขาดให้ผู้เสนอราคาสูงที่สุดได้ผลงานศิลปะไทยชิ้นเยี่ยมไปครองกำลังจะกลับมา
ว่ากันว่างานประมูลครั้งนี้จะเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญของวงการศิลปะไทย
ยุคนี้วิธีการซื้อขายงานศิลปะที่นิยมมากที่สุด คือ วิธีประมูล (Auction)
หลายคนคงเคยสัมผัสกับบรรยากาศการประมูลอันเร้าใจ ชวนให้เกิดอารมณ์ร่วม ดังที่เห็นได้ล่าสุดจากข่าวดังไปทั่วโลก เมื่อภาพชื่อ The Scream ของเอ็ดเวิร์ด มุงค์ จิตรกรชาวนอร์เวย์ ที่ทุบสถิติราคาประมูลสูงสุดในโลก 119.9 ล้านเหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 3,600 ล้านบาท) ซึ่งจัดการประมูลโดยบริษัท ซอร์เธอบี ณ นครนิวยอร์ก เมื่อกลางปีที่แล้ว
ศ.กำจร สุนพงษ์ศรี เคยอธิบายว่า การประมูลเป็นหนึ่งในกระบวนการเพิ่มมูลค่า สิ่งที่นำมาประมูลมีตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ ทว่า ไฮไลต์ที่ถือว่าเป็นสุดยอดของงานประมูลคือ การประมูลงานศิลปะ
“งานศิลปะคืองานสร้างสรรค์ มีเรื่องราว มีตำนานความเป็นมา มันเป็นเรื่องของสุนทรียภาพ เรื่องของรสนิยม ความพึงใจ งานศิลปะทุกชิ้นมีความงดงาม มีพลัง มีแรงบันดาลใจที่แฝงเร้นอยู่ในนั้น งานศิลปะมีคุณค่ามากที่สุดในโลก ลงทุนน้อยที่สุด มีมูลค่าเพิ่มมากที่สุด และน่าสนใจที่สุดอย่างชนิดที่ไม่เคยมีเพชรนิลจินดา เครื่องประดับล้ำค่าใดๆ ที่ประมูลได้ราคาสูงเท่า”
เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ ประจำปี 2554 กล่าวด้วยความเชื่อมั่นแรงกล้า
จุดมุ่งหมายสำคัญอีกอย่างคือ การสร้างมาตรฐานในเรื่องของมูลค่า ทำให้ผลงานชิ้นนั้นมีราคาน่าเชื่อถือและอ้างอิงได้ และแน่นอนว่านั่นเป็นปัญหาของวงการศิลปะไทยมายาวนาน
“วงการศิลปะบ้านเรายังไม่มีมาตรฐานในเรื่องของราคา อย่างในต่างประเทศ คนที่ซื้องานเขาไม่สนใจว่าจะเป็นศิลปะยอดนิยมหรือไม่ แต่บ้านเราต้องเป็นศิลปินแห่งชาติ ศิลปินที่มีชื่อเสียงถึงจะได้ราคาดี ศิลปินส่วนใหญ่หลายท่านไม่มีมาตรฐานของราคา เช่น รูปเมตรคูณเมตร บางทีขายสองแสน บางทีห้าแสน เสถียรภาพอยู่ตรงไหน ศิลปินบางคนมีนักสะสมอุปถัมภ์ก็จะตั้งราคาตามอำเภอใจ แต่เราจะไปอิงราคากับนักสะสมคนเดียวไม่ได้ ต้องอิงกับความต้องการของตลาด” ถาวร โกอุดมวิทย์ ภัณฑารักษ์ชื่อดัง กล่าว
สอดคล้องกับความเห็นของ บุญชัย เบญจรงคกุล นักสะสมศิลปะตัวยง ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย (MOCA Bangkok) มองว่าราคาของงานศิลปะมักจะสัมพันธ์กันระหว่างศิลปิน ผู้ซื้อ แกลเลอรี ไม่มีความเป็นมาตรฐาน การที่กระทรวงวัฒนธรรม เข้ามาช่วยเหลือ เป็นตัวกลางในการจัดงานประมูลระดับชาติขึ้น เพื่อริเริ่มสร้างมาตรฐานในการตั้งราคาของผลงานศิลปะไทยนับเป็นนิมิตหมายที่ดีในอนาคต
ผู้สันทัดกรณีคนหนึ่งบอกว่างานนี้รวบรวมผลงานที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในเมืองไทยมาประมูล ที่สำคัญไม่ใช่การประมูลเพื่อการกุศล ซึ่งราคามักผกผันแปรเปลี่ยนไปตามความใจบุญสุนทานของผู้ซื้อ มากกว่าจะประเมินกันที่มูลค่าและคุณค่าที่แท้จริง
งานประมูลศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 1 รวบรวมผลงานชิ้นเยี่ยมของศิลปิน 24 ท่าน 26 ผลงาน อาทิ ผลงานของศิลปินแห่งชาติ 9 คน เช่น เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ พิชัย นิรันต์ กมล ทัศนาญชลี สนิท ดิษฐพันธุ์ ประหยัด พงษ์ดำ ถวัลย์ ดัชนี ปรีชา เถาทอง นอกจากนี้ ยังมีศิลปินชั้นแนวหน้าที่มีชื่อเสียง อาทิ เมืองไทย บุษมาโร วราวุธ ชูแสงทอง ประทีป คชบัว ศักดิ์วุฒิ วิเศษมณี ปัญญา วิจินธนสาร ธงชัย ศรีสุขประเสริฐ เป็นต้น
“คัดเลือกผลงานของศิลปินที่คนรู้จักมากที่สุด ศิลปินยอดนิยม ศิลปินรุ่นใหม่ที่กำลังมีผลงานเป็นที่ต้องการของนักสะสม เราขอภาพเด่นๆ มาเพื่องานนี้ โดยเฉพาะคอลเลกเตอร์มาแล้วไม่ผิดหวังแน่นอน ราคายังน่าสนใจ น่าจะเป็นที่พอใจทั้งศิลปินและผู้ซื้อ
เราต้องการให้เป็นพื้นที่เผยแพร่งานศิลปะไทยที่มีคุณค่าออกสู่สายตาสาธารณชนด้วย ผมเชื่อว่าการประมูลจะเป็นการปลุกกระแสให้คนเห็นคุณค่าของศิลปะไปด้วยในทางอ้อม” สุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานกรรมการจัดงานประมูลศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 1 กล่าว
กลุ่มเป้าหมายของงานโฟกัสไปยังประชาชนคนทั่วไปผู้รักในงานศิลปะ รวมถึงแวดวงนักสะสมศิลปะรุ่นใหม่ที่กำลังเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ
ถามว่าในแวดวงเหล่าคอลเลกเตอร์ หรือนักสะสมงานศิลปะในเมืองไทยทุกวันนี้มีความคึกคัก มีสีสันมากน้อยเพียงใด เมื่อเทียบกับยุคสมัยของคอลเลกเตอร์รุ่นบุกเบิกอย่าง ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ชนะ อัษฎาธร อภิชาติ รมยะรูป ชัย โสภณพนิช คุณหญิงชดช้อย โสภณพนิช ดร.อำนวย วีรวรรณ วิทิต ลีนุตพงษ์ พงศา อธิรกุล นพ.สมรัช หิรัญยะวะสิต สุชาดา ลีสวัสดิ์ตระกูล บุญชัย เบญจรงคกุล
ชื่อที่โดดเด่นที่สุดในขณะนี้คงหนีไม่พ้น พงษ์ชัย จินดาสุข นักธุรกิจผู้ครอบครองผลงานศิลปะชิ้นเยี่ยมของศิลปินไทยชื่อดังมากกว่า 400 ชิ้น เป็นคนเดียวกับผู้ก่อตั้งเขาใหญ่ อาร์ต มิวเซียม ซึ่งเป็นกำลังหลักที่ได้รับการจับตามองในการประมูลครั้งนี้ด้วย
“บางคนซื้องานศิลปะเอาไว้ชื่นชม มาประดับบ้าน ประดับสำนักงาน บางคนสะสมไว้เก็งกำไร เพื่อการลงทุน หลายคนซื้อตามกระแส อีกพวกหนึ่งคือผู้ที่มีความรู้เรื่องศิลปะ มีรสนิยม มีงานสะสมเก็บไว้หลายชิ้น ซึ่งพวกนี้ผมว่าต้องเชียร์ให้เขาทำต่อไป เพราะอนาคตมีแววที่จะเปิดพิพิธภัณฑ์แน่ๆ” บุญชัย พูดถึงนักสะสมรุ่นใหม่
อย่างไรก็ตาม เขาแนะนำว่าไม่ควรซื้องานศิลปะเพื่อเก็งกำไร ควรเลือกชิ้นที่ชอบ พึงพอใจจริงๆ เพราะหากลงทุนผิด ซื้อมาในราคาสูงเกินไป ทำให้ขายไม่ออก อย่างน้อยก็เก็บไว้ให้ลูกหลานได้ชื่นชม
ด้าน ถาวร เห็นด้วยว่านักสะสมมีส่วนสำคัญในการพัฒนาวงการศิลปะ
“น่ายินดีนะครับที่นักสะสมศิลปะสะสมเพราะรักในความงาม เห็นคุณค่าแท้จริง อย่างคุณพงษ์ชัยเองที่เก็บงานไว้เยอะมากๆ วันหนึ่งเขาก็ลุกขึ้นมาทำพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวเปิดให้ประชาชนได้ชื่นชม ศึกษา นับเป็นการแบ่งปันสิ่งดีๆ สู่สังคม ทำให้ตัวเกิดความภาคภูมิใจในตัวเองด้วย”
ใกล้จะถึงเวลาเคาะราคาแล้ว ผู้ใดที่สนใจไม่ว่าจะซื้อ หรือเพียงแค่ต้องการชื่นชม สามารถไปเป็นส่วนหนึ่งของการประมูลศิลปะครั้งสำคัญของชาติได้ ผ่านนิทรรศการแสดงผลงานศิลปะที่เข้าร่วมประมูลในวันที่ 111 ต.ค.นี้ ณ โซนอีเดน ชั้น 3 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ โดยจะจัดประมูลในวันอาทิตย์ที่ 27 ต.ค.นี้ ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย (MOCA Bangkok)
มาร่วมกันยกระดับศิลปะไทยสู่สากล
มูลค่าของงานศิลปะขึ้นอยู่กับอะไร
เควิน ชิง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของซอร์เธอบี เอเชีย เคยอธิบายไว้ว่าปัจจัยที่มีผลต่อมูลค่าหรือราคาของศิลปะเท่า มีดังนี้
ศิลปิน ศิลปินมีส่วนอย่างมากต่อราคาของศิลปะ แต่การกำหนดนี้ตัวศิลปินเองกำหนดได้แต่เฉพาะตอนขายครั้งแรกเท่านั้น การกำหนดที่มีความหมาย คือการกำหนดราคาของ “ตลาด” ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับชื่อเสียงของศิลปินผู้สร้างสรรค์ศิลปะชิ้นนั้นๆ ด้วย ยิ่งศิลปินดัง ศิลปินที่เสียชีวิตไปแล้ว หยุดสร้างงานอย่างถาวรมูลค่าก็ยิ่งทวีคุณ
ประวัติความเป็นมา ก็มีส่วนทำให้งานศิลปะมีราคาสูงขึ้น ยกตัวอย่าง ภาพเขียนสีน้ำมันชื่อ White Centre (Yellow, Pink and Lavender on Rose) ของมาร์ค รอธโค เป็นภาพสีที่ถูกป้ายเป็นแถบ 3 แถบ มีสีแซมด้านข้างเล็กน้อย ใช้สีทั้งหมด 4 สี ซึ่งผู้เห็นภาพที่ยังไม่ทราบประวัติ หรือเรื่องราวก็อาจจะคิดว่าใครๆ ก็วาดได้ ถูกประมูลไปในราคาถึง 72.84 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2,513 ล้านบาท) ภาพนี้เป็นภาพที่เคยแขวนอยู่ในออฟฟิศของเดวิด ร็อกกี้เฟลเลอร์ ถึง 30 ปี คือไม่ว่าจะย้ายไปทำงานที่ห้องไหน ก็จะนำภาพนี้ไปติดผนังด้วย จึงถือว่าเป็นภาพที่มีเรื่องราว
ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ งานศิลปะชิ้นเยี่ยมที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ หรือเป็นหลักฐานให้ทราบถึงช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในประวัติศาสตร์มักจะมีราคาสูงเป็นพิเศษ
สภาพ เป็นส่วนสำคัญอีกปัจจัยหนึ่ง ชิ้นงานที่มีความสมบูรณ์จะได้ราคาดี ชิ้นงานที่ไม่สมบูรณ์จะมีราคาตกลงไป “ถ้าเป็นนักสะสม งานชิ้นนั้นต้องมีสภาพสมบูรณ์ นิ้วต้องครบ แต่ถ้าเป็นนักอนุรักษ์ หัวขาด เราก็เก็บ เพราะมันเป็นผลงานคนคนนี้” บุญชัย กล่าวเสริม
หายาก ปัจจัยนี้ไม่ได้ใช้กับงานศิลปะอย่างเดียวเท่านั้น แต่ใช้ได้กับทุกอย่าง ศิลปะที่หายากจะถือว่าเป็นชิ้นเอก หรืองานมาสเตอร์พีซ เช่น เป็นชิ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่มีการสร้างในสมัยนั้นๆ หรือมีการสร้างจำนวนน้อย หรือมีลักษณะพิเศษมีความวิจิตรบรรจงกว่าชิ้นใดๆ
รสนิยม คาแรกเตอร์บางคนจะชอบและพึงพอใจในงานชิ้นใดชิ้นหนึ่ง เมื่ออยากได้มากๆ ก็จะทุ่มเงินซื้อ ซึ่งอาจจะทำให้ราคาขึ้นไปสูงเกินความคาดหมายได้
อย่างไรก็ตาม สัจธรรมซึ่งยอมรับกันในวงการศิลปะว่าหากเศรษฐกิจดี ราคาศิลปะก็จะขึ้นด้วย เพราะคนได้กำไรจากธุรกิจก็จะมีอารมณ์สุนทรีย์ในการอยากซื้องานศิลปะ แต่หากเศรษฐกิจไม่ดี ราคาศิลปะก็จะตกตามลงไป นั่นก็เพราะว่าทุกคนต้องคำนึงถึงปากท้องความหิวโหยของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก แทนที่จะมีอารมณ์เสพงานศิลป์


