posttoday

เมื่อสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ประทับที่โรงพยาบาล

06 ตุลาคม 2556

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ทรงประชวรและประทับที่โรงพยาบาล เพื่อรักษาพระองค์มาตลอดนับแต่ พ.ศ. 2547

โดย...สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ทรงประชวรและประทับที่โรงพยาบาล เพื่อรักษาพระองค์มาตลอดนับแต่ พ.ศ. 2547 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่มหาเถรสมาคมมีมติตั้งให้สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว) วัดสระเกศ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ในฐานะที่มีอาวุโสสูงสุดในด้านสมณศักดิ์

พระอาการประชวรของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชนั้น เป็นเรื่องธรรมดาของโลก และส่วนหนึ่งมาจากพระชนม์มากขึ้น ผู้ที่ศึกษาพระธรรมย่อมเข้าใจดีและถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ซึ่งเจ้าประคุณสมเด็จทรงผ่านเรื่องเหล่านี้มามาก จึงทรงเห็นว่าเป็นเรื่องปกติ

นอกจากทรงประชวรตามอายุขัยแล้ว มีอาการโรคอื่นแทรกซ้อนตามมาด้วย เช่น เบาหวาน ไต เป็นต้น แต่ทรงสนทนาไม่ได้เพราะแพทย์เจาะพระศอ ขณะนี้ประทับรักษาพระองค์ที่ตึกวชิรญาณสามัคคีพยาบาร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

พระอาการเป็นไปตามอัตภาพ โดยมีคณะแพทย์ถวายการรักษาดูแลอย่างใกล้ชิด

หนังสือ ๑๐๐ ปี พระผู้เจริญพร้อม 3 ตุลาคม 2556 พิมพ์ครั้งที่ 1 เดือน ต.ค. 2556 จำนวน 3 หมื่นเล่ม ได้เล่าว่า บรรยากาศบนที่ประทับบริเวณชั้น 5 อาคารวชิรญาณสามัคคีพยาบาร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เต็มไปด้วยความเงียบสงบแทบไม่ต่างไปจากวัด ด้านหน้าห้องบรรทมมีพระพุทธรูปองค์พระประธานประจำอาคาร พร้อมทั้งพระพุทธรูปองค์น้อยใหญ่ประดิษฐานสำหรับเป็นที่สักการะ พร้อมทั้งอัญเชิญพระรูปขนาดใหญ่ของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช มาวางตั้งไว้ให้ประชาชนผู้ที่มาเข้าเฝ้าได้ถวายสักการะ ซึ่งในแต่ละวันจะมีคณะบุคคล หรือบุคคลทยอยมาเข้าเฝ้าเสมอ

พอตกเย็นเป็นช่วงเวลาทำวัตรตามปกติ ในบางวันจะมีพุทธศาสนิกชนมาร่วมสวดมนต์ด้วย หรือบางคราวก็มีสวดโพชฌงค์ 7 ถวาย บางคราวก็มีพระสายปฏิบัติหรือพระป่า เดินทางมาถวายสักการะ และเยี่ยมพระอาการอยู่เนืองๆ บางโอกาสได้สวดบทโพชฌงค์ 7 ถวายด้วย (บทสวดโพชฌงค์ 7 สามารถช่วยในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ)

สำหรับคณะแพทย์ที่ถวายการรักษา ทางโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้ตั้งคณะกรรมการแพทย์ พร้อมคณะพยาบาล เพื่อถวายการรักษาพยาบาลเป็นการเฉพาะ แต่ก่อนที่จะรักษาในรูปแบบใดๆ ก็ตาม ทางคณะแพทย์ต้องได้รับความเห็นชอบจากหัวหน้าแพทย์หลวงก่อน แล้วต้องแจ้งให้คณะกรรมการวัดบวรนิเวศทราบด้วย

ด้านการดูแลอุปัฏฐาก วัดบวรนิเวศได้จัดให้พระภิกษุสามเณรผลัดกันอยู่เวรเป็นประจำ โดยแบ่งเป็น 2 กะให้หมุนเวียนกันไป และให้มีการเขียนบันทึกประจำวันเกี่ยวกับรายละเอียดในการถวายการอุปัฏฐาก รวมทั้งรายงานถึงพระภารกิจและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันโดยละเอียดอีกด้วย

พระ ดร.อนิล (ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นพระราชาคณะที่ พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2556) ได้เล่าถึงความเมตตา เมื่อพระ ดร.อนิลไปเฝ้าถวายการดูแลอย่างใกล้ชิดในห้องที่ประทับของโรงพยาบาลครั้งหนึ่ง แม้จะเป็นเวลาดึกมากก็ไม่ได้เข้านอนเพราะเป็นห่วง ตอนนั้นพระองค์ยังรับสั่งได้อยู่ ประมาณตี 2 แล้ว พระ ดร.อนิลไปยืนอยู่ข้างเตียงเพื่อดูการทำงานของเครื่องออกซิเจนว่าทำงานหรือเปล่า แต่ห้องปิดไฟจึงเข้าไปดูใกล้ๆ พระองค์ทรงถอดหน้ากากออกซิเจนออกแล้วตรัสให้พระ ดร.อนิลไปนอนเพราะดึกแล้ว จากนั้นก็ทรงใส่หน้ากากออกซิเจนตามเดิม ซึ่งพระ ดร.อนิลประทับใจที่ทรงเมตตา

บางคราวเมื่อพระอาการแข็งแรงดี จึงเสด็จกลับมาประทับที่พระตำหนักคอยท่าปราโมช ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นครั้งคราว ตามแต่พระอาการ จนกระทั่งระยะหลังๆ จะประทับที่โรงพยาบาลโดยตลอด

ในวันที่ 3 ต.ค.ของทุกปี ตรงกับวันคล้ายวันประสูติ จะมีประชาชนจำนวนมากจากทุกสารทิศที่เฝ้าคอยโอกาสนี้เพื่อกราบนมัสการ และเฝ้าถวายพระพรที่โรงพยาบาล รวมทั้งในวาระสำคัญอื่นๆ ที่ทางคณะแพทย์ลงความเห็นว่าทรงมีพระพลานามัยดี ทางโรงพยาบาลก็จะอนุญาตให้ประชาชนเข้าเฝ้าถวายสักการะ และถวายพระพรได้

อีกตอนหนึ่งของหนังสือเล่มดังกล่าว ได้รายงานว่า ระยะแรกๆ ตั้งแต่ช่วงปลาย พ.ศ 2544 พระองค์เพียงแต่เสด็จเข้าออกโรงพยาบาล เพื่อให้แพทย์ตรวจพระอาการแล้วจึงเสด็จกลับวัด ใน พ.ศ. 2545 ได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเป็นช่วงๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เคยเสด็จฯ เยี่ยมถึงโรงพยาบาล และพระราชทานดอกไม้มาทรงเยี่ยมพระอาการทุกวันอังคารและวันศุกร์อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระบรมวงศ์ ได้เสด็จมาเยี่ยมเป็นประจำ

หนังสือเล่มนี้ได้บันทึกเหตุการณ์ว่า เมื่อกลางปี พ.ศ. 2553 ที่มีเหตุการณ์ฉุกเฉิน เนื่องจากบ้านเมืองอยู่ในภาวะไม่ปกติ เป็นเหตุให้ต้องทรงย้ายไปประทับที่โรงพยาบาลศิริราช

เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2553 เวลาบ่ายโมงตรง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเข้าเฝ้า กราบทูลให้ หลวงปู่ เสด็จไปประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อความปลอดภัย เพื่อความสะดวกในการถวายการรักษาพยาบาล

เวลาประมาณ 16.30 น. ในวันที่ 1 นั้น สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เสด็จจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ไปประทับ ณ ห้องที่ชั้น 6 ตึก 84 ปี โรงพยาบาลศิริราช

ขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับรักษาพระองค์ ณ ที่ประทับชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช

เมื่อเหตุการณ์บ้านเมืองคลี่คลาย วันที่ 30 พ.ค. 2556 เจ้าประคุณสมเด็จ จึงเสด็จกลับมาประทับ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และในครั้งนี้เองที่เจ้าประคุณสมเด็จทรงมีโอกาสเสด็จกลับวัดบวรนิเวศอีกครั้ง

บันทึกของ พระสุทธิสารเมธี พระภิกษุผู้อยู่ประจำวาระ เพื่อถวายอุปัฏฐาก บันทึกว่า เวลา 16.15 นาที เสด็จออกจากอาคาร 84 ปี โรงพยาบาลศิริราช ไปยังโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ระหว่างเสด็จกลับจึงได้แวะที่ประตูเสี้ยวกาง วัดบวรนิเวศวิหาร ในเวลา 16.25 น. ทรงใช้เวลา 1 นาที โดยประทับบนรถยนต์พระประเทียบ ทรงประทานเทียนธูปแด่พระเทพสารเวที เพื่อให้จุดบูชาพระประธานในพระอุโบสถ จากนั้นขบวนรถได้เคลื่อนออกจากบริเวณหน้าวัดบวรนิเวศวิหาร ไปโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โดยมีคณะพยาบาลและแพทย์รอรับเสด็จ รวมทั้งผู้อำนวยการโรงพยาบาล หัวหน้าพยาบาลที่ตามเสด็จจากโรงพยาบาลศิริราช รับเสด็จ ก่อนเสด็จเข้าห้องที่ประทับ ได้ทรงไหว้พระพุทธรูปประจำอาคารประมาณ 1 นาที ทรงลืมพระเนตรตลอดเวลาที่ทรงไหว้ โดยมีพระสุทธิสารเมธี และนายกันต์พจน์ กราบทูล จากนั้นเสด็จเข้าห้องประทับ

ในการเสด็จกลับจากโรงพยาบาลศิริราช มาประทับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มีพระเทพสารเวที พระครูพิศาลวินัยวาท พระครูวินัยธรสะท้าน ตามเสด็จ

พระอาการโดยทั่วไปปกติ พระพักตร์ผ่องใส ทรงลืมพระเนตรตลอดเวลาที่ประทับที่รถพระประเทียบ และไหว้พระประธานประจำอาคารวชิรญาณ สามัคคีพยาบาร

นับเป็นเวลา 1 เดือนพอดีที่ทรงย้ายไปประทับที่โรงพยาบาลศิริราช หลังจากนั้นก็ทรงเสด็จกลับมาประทับที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ดั้งเดิมโดยตลอด และดูเหมือนว่าครั้งกลับมายังที่ประทับคราวนั้นเอง พระองค์มีโอกาสได้แวะเยี่ยมวัดและถวายสักการะองค์พระประธานที่วัดบวรนิเวศวิหารเป็นครั้งล่าสุด n

 

ข่าวล่าสุด

สธ. ปั้นนโยบายขึ้นทะเบียนยา ATMPs ‘เร็วที่สุดในอาเซียน’ ดัน 'Medical Economy'