สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 18 ไต่เต้าจากพระครู
เมื่อได้ศึกษาพระประวัติสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (วาสนมหาเถระ) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 18 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
โดย...สมาน สุดโต
เมื่อได้ศึกษาพระประวัติสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (วาสนมหาเถระ) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 18 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์แล้ว พบว่าพระองค์ท่านเป็นชาว อ.นครหลวง พระนครศรีอยุธยา ดำเนินชีวิตเป็นไปตามจักร 4 จึงไต่เต้าจากพระครูฐานานุกรม ขึ้นสู่ตำแหน่งพระประมุขแห่งสงฆ์ไทย และทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ครั้งทรงผนวชเป็นพระภิกษุ เมื่อ พ.ศ. 2521 อีกด้วย
จักร 4
ความสำเร็จและการเติบโตสู่ตำแหน่งสูงสุดของสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 18 นำจักร 4 พระธรรมคำสอนของพระพุทธมาอธิบายได้ กล่าวคือ ปฏิรูปเทสวาสะ อยู่ในสถานที่เหมาะสม สัปปุริสูปสังเสวะ คบคนดี อัตตสัมมาปณิธิ ตั้งตนไว้ชอบ และปุพเพกตปุญตา สะสมบุญและความดี พระองค์ท่านเป็นลูกชาวนา ชีวิตเปลี่ยนไปเมื่อเข้ามาเป็นศิษย์วัดราชบพิธฯ พระอารามประจำรัชกาลที่ 5 อันเป็นปฏิรูปรูปเทส
ได้ที่อยู่ที่เหมาะสม มีสังคมดี รับใช้ใกล้ชิดพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สอดรับกับจักรที่ 2 สัปปุริสูปสังเสวะ
ในทางส่วนตัวเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติดี ตรงกับจักรข้อที่ 3 คือ อัตตสัมมาปณิธิ และสะสมคุณความดี จึงมีปุพเพกตปุญญตา ส่งผลให้ขึ้นสู่ตำแหน่งประมุขสงฆ์เมื่อ 22 มิ.ย. พ.ศ. 2517
ประวัติย่อ
ตามประวัตินั้นท่านประสูติวันที่ 2 มี.ค. พ.ศ. 2440 สมัยรัชกาลที่ 5 เดิมมีชื่อว่า มัทรี นามสกุล นิลประภา เปลี่ยนชื่อเป็นวาสน์ เมื่อบรรพชาเป็นสามเณร
บิดามารดาเป็นชาวนาแห่ง ต.บ่อโพง อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา เรียนหนังสือที่วัดโพธิ์ทอง ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน เข้าเรียนที่โรงเรียนตัวอย่างมณฑลกรุงเก่า (โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัยในปัจจุบัน) สอบไล่ได้เทียบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มาอยู่กับพระอมรโมลี (พระมหาทวี ป.ธ.9) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ซึ่งเป็นญาติ
บรรพชาและอุปสมบท
อายุ 16 ปี บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันที่ 22 พ.ค. พ.ศ. 2455 อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เมื่อวันที่ 2 ก.ค พ.ศ. 2461 โดยมีพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า เป็นพระอุปัชฌาย์
ขณะที่เป็นสามเณรเรียนหนังสือสอบได้สามเณรรู้ธรรม ได้คะแนนเป็นที่ 1 ได้รับยกเว้นการเกณฑ์ทหาร หลังจากอุปสมบทสอบได้เป็นเปรียญธรรม 4 ประโยค
ตามข้อมูลในหนังสือสมเด็จพระสังฆราช 19 พระองค์ ท่านถวายงานรับใช้พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้าในด้านต่างๆ จนเป็นที่โปรดปรานเป็นพิเศษกว่าภิกษุสามเณรอื่นๆ ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะเป็นผู้เรียบร้อยละเมียดละไม จึงทรงเมตตาและทรงไว้วางพระทัย
การที่ได้ถวายงานและอุปัฏฐากใกล้ชิด สมเด็จพระสังฆราชเจ้า มาแต่พรรษายุกาลยังน้อยนั้น เป็นโอกาสให้ได้เรียนรู้การคณะสงฆ์ การพระศาสนา และการปกครองมาเป็นเวลายาวนานเกือบ 20 ปี
ส่วนสมณศักดิ์นั้น เมื่อ พ.ศ. 2465 อุปสมบทได้ 5 พรรษา พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้าทรงแต่งตั้งให้เป็นพระครูโฆสิตสุทธสร พระครูคู่สวด เป็นตำแหน่งฐานานุกรมผู้ใหญ่
พ.ศ. 2466 ได้เลื่อน 2 ครั้ง เป็นพระครูธรรมธร และพระครูวิจิตรธรรมคุณ
จากตำแหน่งพระครูฐานานุกรม รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นเจ้าคุณที่พระจุลคณิศร พระราชาคณะสามัญปลัดซ้ายของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า เมื่อ พ.ศ. 2477 จากนั้นก็ได้รับเลื่อนสมณศักดิ์สูงขึ้นตามลำดับ จนถึงเป็นที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เมื่อ พ.ศ. 2506
เมื่อคณะสงฆ์ปกครองด้วย พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 มีตำแหน่งสังฆมนตรี พระองค์ได้รับแต่งตั้งเป็นสังฆมนตรี เป็นสังฆมนตรีช่วยว่าการ ต่อมาเป็นสังฆมนตรีองค์การสาธารณูปการ ดำรงตำแหน่งนี้ติดต่อกันตั้งแต่ 2490 (เมื่อเป็นพระราชกวี) จนถึงยกเลิกการปกครองระบอบนี้เมื่อ พ.ศ. 2506 เมื่อมี พ.ร.บ.สงฆ์ 2505 ก็ได้รับตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคมตั้งแต่ พ.ศ. 2508 เป็นต้นมา
หลังจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริมหาเถร) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม สิ้นพระชนม์ใน พ.ศ. 2516 จึงได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 18 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. พ.ศ. 2517
ผลงานที่สร้างชื่อเสียงและเกียรติยศอย่างยิ่งนอกจากงานประพันธ์ก็ได้แก่การนำคำสวดมนต์แบบมคธ ประวัติความเป็นมาพร้อมทั้งเนื้อธรรมที่ปรากฏในพระสูตรมาบรรยายทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ทุกวันพระ แรม 8 ค่ำ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2498 ถึง พ.ศ. 2517 ซึ่งมีผู้ฟังติดตามทั่วประเทศ
แต่งหนังสือได้รางวัลที่ 1
ความสามารถในการนิพนธ์หนังสือนั้น ได้รับพระราชทานรางวัลที่ 1 ในการประกวดหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็กในสมัยรัชกาลที่ 7 นิพนธ์เรื่องนี้คือเรื่องทิศ 6 และเรื่องสังคหวัตถุ 4 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 มีพระราชดำรัสชมเชยว่า “แต่งดีมากทั้งใจความและสำนวน อ่านเข้าแล้วรู้สึกจับใจ”
การประกวดแต่งหนังสือดังกล่าวได้เป็นแบบอย่างการประกวดแต่งหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็ก และมอบรางวัลชนะเลิศในวันวิสาขบูชาทุกปี มาถึงรัชกาลปัจจุบัน
รับเสด็จสันตะปาปา
เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 แห่งคริสตจักร เสด็จฯ เยือนประเทศไทย วันที่ 1011 พ.ค. พ.ศ. 2527 ได้เสด็จเยี่ยมสมเด็จพระสังฆราช ในฐานะประมุขแห่งพุทธจักรไทยและสงฆ์ไทย ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชถวายการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติเป็นที่กล่าวขานกันทั่วไป
ในการสนทนาแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์ทางศาสนาของพระประมุขทั้งสองศาสนานั้น พระราชวรมุนี (ปัจจุบันคือ พระพรหมคุณาภรณ์ ป.อ.ปยุตฺโต) ทำหน้าที่เป็นล่ามฝ่ายไทย สร้างความประทับใจให้ทุกฝ่าย
งานประพันธ์
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ ทรงบำเพ็ญกรณียกิจทุกประการ เพื่อทำนุบำรุงและส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง ทรงเป็นแบบอย่างในการเผยแผ่พระธรรมคำสอนให้ถึงประชาชนทุกหมู่เหล่าโดย ผ่านสื่อต่างๆ ทั้งการประพันธ์ การบรรยาย และแสดงพระธรรมเทศนา
สร้างบ้านพักคนชรา
ในฐานะที่ดำรงตำแหน่งองค์การสาธารณูปการมานาน ผลงานด้านก่อสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์ จึงปรากฏทั่วไปทั้งในวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม สารณสมบัติ และศาสนสถานอื่นๆ จำนวนมาก ที่ควรกล่าวถึงคือ สร้างโรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราช (วาสนมหาเถระ) ณ ต.บ่อโพง อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา และสร้างสถานสงเคราะห์คนชราวาสนะเวศม์ ในบริเวณใกล้กับโรงพยาบาลนั้น ทรงตั้งมูลนิธิสมเด็จพระสังฆราช (วาสนมหาเถระ) เพื่อสนับสนุนกิจการโรงพยาบาล และเพื่อการสาธารณกุศล การศาสนา ส่งเสริมการศึกษา และรักษาวัฒนธรรมของชาติ
อวสาน
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสนมหาเถร) สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 27 ส.ค. พ.ศ. 2531 เวลา 16.50 น. สิริพระชันษาได้ 91 ปี 5 เดือน 25 วัน ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชเป็นเวลา 14 ปี 2 เดือน 5 วัน
เป็นการสูญสิ้นพระมหาเถระที่เป็นยอดแห่งสังฆโสภณไปอย่างน่าเสียดาย


