กวาง เอบี นอร์มอล กับบ้านที่ไม่นอร์มอล
ถ้าให้จินตนาการถึงบ้านของนักร้องนำวงเอบี นอร์มอล “กวางศิริศิลป์ โชติวิจิตร” เจ้าของเพลงฮิตอย่าง “พูดไม่ค่อยเก่ง”
โดย...ตุลย์ จตุรภัทร ภาพ เสกสรร โรจนเมธากุล
ถ้าให้จินตนาการถึงบ้านของนักร้องนำวงเอบี นอร์มอล “กวางศิริศิลป์ โชติวิจิตร” เจ้าของเพลงฮิตอย่าง “พูดไม่ค่อยเก่ง” จนถึงล่าสุด “พูดไม่ค่อยถูก” บ้านของเขาคงเป็นบ้านที่มีการตกแต่งแบบเรียบๆ ง่ายๆ แต่แฝงไว้ด้วยความดิบแบบหนุ่มร็อกเครางาม ที่ไหนได้ เมื่อผมดั้นด้นเดินทางไกลไปยังบ้านของเขาที่อยู่แถวๆ พุทธมณฑลสาย 2 บ้านหลังใหญ่แต่พอเหมาะพอดี ที่มีต้นไม้ มีสนามหญ้าอยู่รายล้อมบ้าน ไม่ได้ดิบ หรือเรียบง่ายแต่อย่างใด กลับกลายเป็นบ้านที่จัดวางองค์ประกอบอย่างหรูหราสมกับราคา 40 ล้านบาทไทย (โอวววว)
“จริงๆ แล้วบ้านหลังนี้ ราคาซื้อขายไม่เกินสามสิบล้านครับ แต่ที่งอกเงยขึ้นมา เป็นเพราะค่าตกแต่งนั่นเอง”
เมื่อให้ศิริศิลป์เล่าย้อนความเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ เขาก็ได้เล่าย้อนความนับตั้งแต่บ้านหลังแรกที่เขาได้อาศัยไว้ว่า เขาเกิดและเติบโตมากับทาวน์เฮาส์ที่เป็นคลินิกทำฟันของคุณพ่อแถวเจริญนคร ซอย 2
“พอผมเรียนอยู่ประมาณ ป 5 คุณพ่อก็พาครอบครัวย้ายมาอยู่บ้านที่เป็นบ้านแบบจริงจัง แถวเจริญนครเหมือนเดิมนี่แหละ อยู่ที่บ้านหลังนี้อีกสิบกว่าปีก็ย้ายมาอยู่ที่นี่ ซึ่งย้ายมาตอนช่วงผมเรียนมหาวิทยาลัยและกำลังเข้าสู่วงการบันเทิงพอดี ที่นี่เป็นหมู่บ้านจัดสรรที่มีแบบบ้านให้เลือกอยู่หลายแบบ เราทุกคนช่วยกันเลือก ซึ่งเราก็เลือกบ้านขนาดเล็กที่มีพื้นที่บ้านกว้างขวาง จะได้มีพื้นที่ทำอะไรได้มากขึ้น นับจากวันนั้นมาจนถึงวันนี้ ก็สิบกว่าปีแล้วครับที่เราทุกคนอยู่ในบ้านหลังนี้”
ศิริศิลป์ เผยว่า เมื่อครอบครัวของเขาย้ายบ้านมาอยู่ไกลขึ้น เขาใช้เวลาในการปรับตัวอยู่นานพอควร แม้ว่าเขากำลังเริ่มต้นเข้าสู่วงการบันเทิง ที่ต้องเดินทางเข้าไปในตัวเมือง แต่ก็ยังโชคดีที่บ้านกับที่มหาวิทยาลัยอยู่ไม่ไกลกันมากนัก
“เรื่องเดินทางไปเรียนนี่ไม่ค่อยลำบากเท่าไหร่ แต่เรื่องทำงาน ขาไปยังชิลชิลได้ แต่ขากลับนี่สุดๆ เพราะวันทั้งวันเราทำนั่นทำนี่ เวลากลับบ้านทีแสนจะเหนื่อย ก็มีขับรถแล้วหลับในบ้างครับ (หัวเราะ)”
ด้วยการมองการณ์ไกล ศิริศิลป์เล่าว่า คุณพ่อคุณแม่ตัดสินใจซื้อบ้านหลังนี้ และตกแต่งบ้านด้วยมูลค่าที่มากเอาการ เนื่องจากท่านต้องการให้บ้านหลังนี้เป็นเรือนหอของเขาในอนาคตนั่นเอง
“ในส่วนของการตกแต่ง คุณแม่คุมงานเองหมด จัดเต็มกับบ้านทุกชั้น ทุกชิ้น บ้านเลยกลายเป็นบานกระจาย (หัวเราะ) ถามว่ารูปแบบการตกแต่งเป็นแนวไหน แนวคุณแม่เลยครับ แกชอบบ้านที่ดูหรูหราแบบแนวหลุยส์ ซึ่งตรงกันข้ามกับผมที่ชอบแนวโมเดิร์น ตอนออกแบบบ้านเราเลยทะเลาะกันชุดใหญ่ ยกเว้นคุณพ่อที่ไม่มีปากเสียงอะไรแต่จ่ายตังค์อย่างเดียว (หัวเราะ) สุดท้าย เราก็เลยตกลงกันว่า ห้องทำงาน ห้องซ้อมดนตรี และห้องนอนของผม ขอให้เป็นการตัดสินใจของผม ห้ามยุ่ง นอกนั้น คุณแม่อยากจัดแนวหลุยส์หรูหราก็แล้วแต่คุณแม่”
หากมองไปรอบๆ บ้านหลังนี้ จะพบว่า จุดเด่นของบ้านอยู่ตรงที่เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ศิริศิลป์เผยว่า ส่วนใหญ่แล้วเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ หรือพวกแชนเดอเลียร์ จะนำเข้ามาจากต่างประเทศ ที่ทำจากไทยส่วนใหญ่ก็เป็นพวกตู้ที่จะทำเป็นแบบบิลด์อิน
“อย่างสวนข้างนอกบ้านเราก็จัดวางไว้แต่แรกเริ่ม มีซื้อต้นไม้มาเพิ่มบ้าง แล้วแต่ความชอบและพื้นที่ที่จัดวางได้อย่างเหมาะสม แต่ก็มีเรื่องเศร้าๆ เกิดขึ้นกับบ้านเราเหมือนกัน ตอนน้ำท่วมใหญ่ปลายปี 2554 ตอนนั้นสวนนอกบ้านนี่เละหมดเลย แต่ในบ้านนี่ท่วมแค่ข้อเท้าเพราะน้ำไม่ได้ทะลักเข้ามาแต่มันซึมเข้ามาในดิน แต่ข้างนอกนี่เป็นตู้ปลาเลย”
จากเหตุการณ์น้ำท่วมในครั้งนั้น ทำให้ศิริศิลป์ได้เห็นถึงคุณค่าของคำว่าครอบครัวและเพื่อนบ้านได้เป็นอย่างดี
“เราผ่านวิกฤตด้วยกันมา ทำให้ผมเห็นว่า คุณพ่อคุณแม่รักบ้านมากแค่ไหน เขาไม่หนีไปไหนเลย เขาพร้อมสู้ ทำให้ผมกับน้องสาวก็ร่วมมือร่วมใจกันสู้ รวมทั้งยังได้เห็นน้ำใจของเพื่อนบ้าน ที่พร้อมใจกันสู้และคอยช่วยเหลือกัน”
กับบ้านหลังนี้ นอกเหนือจากคุณพ่อ คุณแม่ ตัวเขาเอง และน้องสาว ยังมีน้องหมาของคุณแม่อีกสองตัว มีนกขุนทอง มีปลา และมีเต่า ที่อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
“บ้านหลังนี้ มีเวลาของครอบครัวด้วยนะครับ นั่นคือช่วงเช้ากับช่วงเย็น ที่พวกเราทั้งหมดจะต้องมานั่งรวมกัน ก่อนจะแยกย้ายไปทำภารกิจของใครของมัน”
ว่าแต่ บ้านหลังนี้ คุณพ่อคุณแม่เขาจัดเตรียมไว้เพื่อเป็นเรือนหอสำหรับหนุ่มร็อกเครางามกับภรรยาในอนาคต ว่าแต่ ตอนนี้มีสาวสวยคนใดเยื้องกรายเข้ามานั่งเล่นในหัวใจ เพื่อเตรียมตัวเป็นภรรยาในอนาคต และย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้แล้วหรือยัง อ๊ะอ๊ะ ชักอยากรู้ซะแล้วสิ บอกหน่อยได้เปล่าหนุ่มกวาง


