ไมโครสต๊อก รายได้ใหม่ของคนชอบถ่ายภาพ
ปีที่ผ่านมาผมได้เดินทางไปถ่ายภาพที่อุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช ในช่วงเย็นบรรดาคนเล่นกล้องก็จะแบกกล้องไปถ่ายรูปตะวันตกดินสวยๆ
โดย...โยธิน อยู่จงดี
ปีที่ผ่านมาผมได้เดินทางไปถ่ายภาพที่อุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช ในช่วงเย็นบรรดาคนเล่นกล้องก็จะแบกกล้องไปถ่ายรูปตะวันตกดินสวยๆ ช่างภาพอาชีพก็มีอุปกรณ์ขาตั้งกล้องตัวใหญ่ ฟิลเตอร์ กล้อง และเลนส์เทพเซตใหญ่ ส่วนผมมีแค่ขาตั้งกล้องอันเล็กกับกล้องคอมแพกต์ที่ถ่ายเป็น Raw ไฟล์ได้ 1 ตัว
พอเอามาวางเทียบกันแล้วก็เหมือนมืออาชีพกับมือสมัครเล่นมาถ่ายภาพด้วยกัน รุ่นใหญ่ก็เปลี่ยนใส่ฟิลเตอร์กันพัลวัน ส่วนผมก็ตั้งเป็นระบบแมนนวล แล้วเก็บภาพมุมกว้าง มุมแคบ แนวตั้ง แนวนอน ไปตามประสาคนชอบถ่ายภาพ ช่างภาพรุ่นใหญ่หันมาบอกผมด้วยความหวังดีว่า ให้เก็บมุมประมาณนี้สิสวย แสงจะได้อย่างนี้เลย ว่าแล้วก็ให้ดูรูปหลังกล้องเป็นภาพท้องฟ้าที่ถูกย้อมสีม่วงอมแดงแลสวยงาม
ผมก็ร้องโห... ประมาณนี้ได้หรือเปล่าครับ แล้วก็ให้ดูรูปหลังกล้อง เออ... ได้ๆ ประมาณนี้แหละ... นี่กล้องรุ่นไหนเนี่ย? เพราะสีสัน ความคมชัดในภาพแทบจะเทียบกับกล้องดีเอสแอลอาร์รุ่นใหญ่ได้เลย
นี่คือความจริงในยุคที่ราคากล้องดิจิตอลถูกลงจนทุกคนจับต้องได้ ยังเต็มไปด้วยฟังก์ชันที่ช่วยให้ทุกคนสามารถถ่ายภาพได้สวย โดยแทบจะไม่ต้องลงทะเบียนเรียนวิชาถ่ายภาพด้วยซ้ำ และเมื่อมีรูปในระบบอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ก็มีผู้ต้องการซื้อภาพไปใช้ ทำให้เกิดเทรนด์อาชีพใหม่ ก็คือการหารายได้จากการขายภาพจากบรรดาเว็บไซต์ขายภาพออนไลน์ หรือที่เรียกกันว่า ไมโครสต๊อก แค่เราอัพโหลด ใส่ข้อมูลที่จำเป็นในการค้นหา แล้วรอให้ผู้สนใจเข้ามาซื้อภาพไปใช้งาน เราก็จะได้เงินเล็กๆ น้อยๆ จากการขายภาพเป็นรายได้เสริม แถมยังสามารถขายได้ตลอดชีวิตอีกด้วย
เริ่มสนใจกันแล้วใช่ไหมล่ะ...
ไมโครสต๊อก คืออะไร
ไมโครสต๊อก หรือบางคนก็เรียกว่า สต๊อกโฟโต้ คือธุรกิจขายภาพออนไลน์ที่เพิ่งเกิดมาได้ไม่นานนัก แรกๆ จะใช้งานกันเฉพาะกลุ่มเอเยนซีโฆษณา กลุ่มผู้ผลิตรายการทีวี กลุ่มนิตยสารที่ต้องการซื้อภาพมาประกอบการโฆษณา และประกอบคอลัมน์บทความในนิตยสาร พวกเขาจะเข้ามาหารูปภาพสวยๆ ที่สามารถสื่อในสิ่งที่เขาต้องการ แล้วนำไปใช้งานโดยเสียค่าดาวน์โหลดภาพไปใช้ในราคาถูก หรืออย่างน้อยๆ ก็ถูกกว่าจ้างช่างภาพมาถ่ายเป็นเซตที่ต้องใช้เงินเป็นหลักแสนบาท
ไอเดียนี้ได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้ผลิตคอนเทนต์ทั่วโลก เพราะช่วยลดต้นทุน รวมทั้งยังเลือกรูปที่ถูกใจไปใช้งานได้ทันที ตัวอย่างเว็บไซต์ไมโครสต๊อกที่ได้รับความนิยมจากช่างภาพไทย เช่น 123rf.com, shutterstock.com, fotolia.com, dreamstime.com ที่มีรูปภาพให้กว่าสิบล้านภาพในสต๊อก และช่างภาพบางคนก็สามารถหารายได้เสริมกันเป็นแสนบาทต่อเดือนจากเว็บไซต์เหล่านี้
ถ่ายรูปให้ขายได้
ไซมอน เดย์ตัน ครีเอทีฟ ไดเรกเตอร์ เว็บไซต์ 123rf.com ผู้เชี่ยวชาญด้านการขายภาพออนไลน์แนะนำว่า เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็สามารถหารายได้ผ่านทางออนไลน์ได้ก็จริง แต่ก็ใช่ว่าทุกภาพที่อัพขึ้นเว็บไซต์จะขายได้ทั้งหมด เพราะเมื่อเราอัพรูปขึ้นไปแล้ว ทางเว็บไซต์จะต้องตรวจลิขสิทธิ์ของภาพว่ามีการละเมิดลิขสิทธิ์หรือเปล่า เคยปรากฏที่เว็บไซต์อื่นๆ หรือเคยถูกตีพิมพ์ไปแล้วหรือไม่ ซึ่งเรื่องลิขสิทธิ์ภาพถ่ายนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างมาก ผู้อัพโหลดจะต้องระมัดระวังในเรื่องนี้ เพราะอาจถูกฟ้องร้องได้
สำหรับภาพที่เราถ่ายเอง และสามารถขายได้อย่างถูกต้อง และขายดีจนเป็นแหล่งรายได้เสริมสำหรับทุกคน ควรมีคุณสมบัติดังนี้...
1.ภาพต้องมีความคมชัดและมีขนาดไม่ต่ำกว่า 8 ล้านพิกเซล ความคมชัดในที่นี้หมายถึง ดูแล้วภาพไม่สั่นไหว มีความคมและเห็นรายละเอียดต่างๆ อย่างชัดเจน
2.ตั้งค่า ISO หรือความไวแสงกล้องต่ำกว่า 400 หรือใช้ที่ระดับ 100 ได้ยิ่งดี การใช้ระดับความไวแสงต่ำจะช่วยรักษาคุณภาพของรูป ไม่ทำให้เกิดนอยส์ ที่ทำให้รูปนั้นขายไม่ออก
3.ภาพต้องออกมาในธีมเดียวกันและบอกเรื่องราวได้ ในกรณีที่เราต้องการถ่ายภาพเป็นชุดคอลเลกชัน เช่น ชีวิตในออฟฟิศ ภาพที่ออกมาจะต้องออกมาในธีมเดียวกัน และเล่าเรื่องราวของภาพและสื่ออารมณ์ออกมาได้ดี
4.ฉากหลังต้องไม่รก และกระจกต้องไม่มีเงาสะท้อน ภาพที่ขายได้ดีส่วนใหญ่แล้วภาพที่ลูกค้าเลือกไป มักจะเป็นภาพที่อยู่ในโทนสว่าง สีขาว ฉากหลังดูโล่งสบาย นอกจากนี้ควรมีที่ว่างของภาพเผื่อสำหรับการใส่ข้อความในงานโฆษณา หรือบทความสำหรับลูกค้าด้วย ส่วนเงาสะท้อนของภาพจะดึงความสนใจของผู้ชมไปจากสิ่งที่ต้องการสื่อในภาพ
5.ทำประวัติโมเดลในภาพ หากภาพนั้นมีนายแบบและนางแบบ จะต้องถ่ายรูปโมเดลนั้นกับแผ่นกระดาษที่กรอกรายละเอียด ชื่อ ที่อยู่ เบอร์ติดต่อ เพื่อความสะดวกในการติดต่อภายหลัง นอกจากนี้จะต้องทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรถึงการยินยอมนำภาพที่มีบุคคลอยู่ไปใช้
6.ถ่ายที่ความละเอียดสูงสุดของกล้อง และแบ็กอัพ 2 แหล่งเสมอ ภาพที่ถ่ายควรเซฟเป็น Raw ไฟล์สำหรับการตกแต่งภาพภายหลัง เมื่อตกแต่งภาพเสร็จแล้วควรเซฟเป็นไฟล์นามสกุล Tiff เพื่อรักษาคุณภาพของรูปไว้ แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ เมื่อถ่ายเสร็จแล้วควรทำแบ็กอัพไว้เสมอ เพราะทุกรูปคือเม็ดเงิน
เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการทุกอย่างแล้ว ก็เลือกภาพที่ดีที่สุดขึ้นไป แต่อย่าให้ดูแล้วซ้ำกัน เพราะจะไม่ผ่านการตรวจจากผู้ดูแล ส่วนการตกแต่งภาพด้วยโปรแกรมนั้นก็ไม่จำเป็นต้องใช้เสมอไป บางคนอาจชอบแบบจบในภาพเดียว แต่การใช้โปรแกรมตกแต่งภาพจะช่วยทำให้เราได้ภาพที่ตรงอย่างที่ใจคิดมากขึ้น หากเป็นไปได้ก็ควรเรียนรู้เอาไว้บ้าง
ถ่ายแล้วขายได้จริงอ่ะ?
สุระ นวลประดิษฐ์ ช่างภาพและผู้เขียนหนังสือ “แชะ...รวยด้วยภาพถ่าย” เล่าถึงประสบการณ์จริงว่า ตัวเขาก็เป็นคนหนึ่งที่สามารถหารายได้จากการขายภาพถ่ายออนไลน์ เขาก็เป็นคนหนึ่งที่เริ่มหารายได้จากการขายภาพถ่าย ซึ่งเขาเองแรกก็ไม่คิดว่าภาพที่เขาถ่ายนั้นจะสามารถขายได้ดีขนาดนี้ เพราะภาพๆ หนึ่งอัพเพียง 1 ครั้ง สามารถขายได้ตลอดเวลา แบบไม่มีวันหมดอายุ
สิ่งสำคัญคือ เราต้องรู้กฎระเบียบของการถ่ายภาพ โดยเฉพาะเรื่องของลิขสิทธิ์ต่างๆ รวมทั้งเทคนิคการถ่ายภาพ โดยไม่จำเป็นต้องใช้กล้องราคาแพง ก็สามารถขายรูปกับทางไมโครสต๊อกได้ เพียงแค่กล้องนั้นถ่ายแบบ Raw ไฟล์ได้ ใช้ขาตั้งกล้องเพื่อความนิ่งและคมชัดของภาพ ผสมกับเทคนิคการจัดแสงด้วยแฟลช แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ เราต้องมีความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างเรื่องราวในภาพถ่ายนั้นขึ้นมา ภาพจะขายได้อย่างแน่นอน
แหม...เห็นอย่างนี้แล้ว ทำให้เราอยากกลับไปดูรูปที่ถ่ายเก็บไว้ ว่ารูปไหนพอที่จะอัพโหลดไปขายได้บ้าง เพราะรูปสวยๆ ที่อัพโหลดขึ้นไมโครสต๊อกได้ จะมีรายได้ประมาณ 710 บาทต่อการโหลด 1 ครั้ง บางคนคงขำที่ขายรูปได้แค่ 7 บาท แต่อย่าเพิ่งดูเบาไป เพราะส่วนใหญ่รูปสวยๆ มักจะมีคนโหลดไปใช้มากกว่า 10 ครั้ง เท่ากับว่ารูปนั้นก็ทำรายได้ให้กับคนถ่ายอย่างน้อยๆ 70 บาท ขายดีกว่าพิมพ์โปสต์การ์ดอีก และช่างภาพ 1 คน อัพรูปขายกันเป็นร้อยเป็นพันภาพ ลองคิดดูสิว่ารายได้เสริมเขาจะมีมากขนาดไหน
อ่ะ...แล้วอย่างนี้เราจะเก็บภาพในฮาร์ดดิสก์อยู่ทำไม เอาออกมาขายเลยสิครับ เงินทั้งนั้น อู้ววววววว... รวยๆๆๆๆ


