จอห์น ฟอเกอร์ตี เพลงนี้เพื่อทุกคน
กลับไปวัยรุ่นได้แว่บๆ กับการเขียนถึง เซเลนา โกเมซ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อังคารนี้เราก็กลับเข้าสู่โหมด “เก๋า”
โดย...เพ็ญแข สร้อยทอง
John Fogerty
Wrote a Song for Everyone *** (Columbia/Sony Music)
กลับไปวัยรุ่นได้แว่บๆ กับการเขียนถึง เซเลนา โกเมซ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อังคารนี้เราก็กลับเข้าสู่โหมด “เก๋า” ด้วยการแนะนำอัลบั้มใหม่ล่าสุดของ “จอห์น ฟอเกอร์ตี”
รู้จักกันดีในฐานะมือกีตาร์และนักแต่งเพลงของวงซีซีอาร์ ผู้เป็นตำนานซึ่งเวียนว่ายในวงการมานาน 5 ทศวรรษ ในวัยหกสิบปลายๆ ลุงจอห์นก็ยังกระฉับกระเฉง ยังเดินทางขึ้นเหนือลงใต้เล่นคอนเสิร์ตได้ถี่ไม่แพ้เด็กรุ่นๆ เมื่อขึ้นเวทีในฐานะศิลปินเดี่ยว จอห์น ฟอเกอร์ตี ปฏิเสธที่จะเล่นเพลงของวงซีซีอาร์ ซึ่งก็ไม่รู้ว่า เพราะเกลียดชังหรือเบื่อหน่าย หรือเพราะปัญหาทางกฎหมายลิขสิทธิ์ที่คาราคาซังระหว่างเขากับต้นสังกัดเก่า แต่พักหลังจอห์นก็ดูจะคลายกฎกติกาส่วนตัวลงไปเยอะ มีการนำเพลงของซีซีอาร์มาเล่นบ้าง ทั้งยังขึ้นเวทีในนามของวงอีกบางหน ที่สุดก็มีอัลบั้มนี้ ซึ่งบรรจุไว้ด้วยหลายๆ เพลงของซีซีอาร์ในสีสันแตกต่าง รวมทั้งเพลงของเขาในฐานะศิลปินเดี่ยวและสองเพลงใหม่ Mystic Highway กับ Train of Fools ซึ่งแต่งสำหรับอัลบั้มนี้โดยเฉพาะ ที่สำคัญครั้งนี้ จอห์นได้เชื้อเชิญเพื่อนพ้องน้องพี่คนเพลงมาร่วม “ดูเอต” มากหน้าหลายตา
อัลบั้ม Wrote a Song for Everyone นับเป็นงานชุดที่ 9 ในฐานะศิลปินเดี่ยวของจอห์น ฟอเกอร์ตี เริ่มทำตั้งแต่ปี 2011 ก่อนจะสำเร็จและออกวางขายในสหรัฐ เมื่อวันที่ 28 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับวันครบรอบ 68 ปี ของศิลปินด้วย งานชุดนี้ได้รับความนิยมไม่น้อย สามารถพุ่งขึ้นถึงอันดับ 3 ในชาร์ตยูเอสบิลบอร์ด 200
งานนี้คือการผสมผสานระหว่างคันทรีร็อก แถมด้วยกลิ่นอายอาร์ แอนด์ บี และโฟล์กเจือจาง เปิดอัลบั้มด้วย ลีลาร็อกกับวงฟู ไฟเตอร์ส ในเพลง Fortunate Son และ Almost Saturday Night ได้การร่วมมือร่วมใจจากศิลปินคันทรีรูปหล่อ คีธ เออร์บัน ที่โชว์ฝีมือการเล่นกีตาร์และแบนโจในเพลงนี้ด้วย ต่อกันด้วย Lodi ซึ่งอบอุ่นด้วยลูกๆ เชน และไทเลอร์ ฟอเกอร์ตี มาทำงานเคียงข้างป๊ะป๋า เพลงนี้ Wrote a Song for Everyone มิแรนดา แลมเบิร์ต โดดเด่นมากมายด้วยเสียงที่กินขาด ส่วน ทอม โมเรลโล มือกีตาร์จากออดิโอสเลฟก็มาสร้างสีสันได้ดี ขณะที่ Bad Moon Rising กระหึ่มด้วยฝีมือของวงแซค บราวน์ แบนด์
Long as I Can See the Light ได้วงอเมริกันร็อกชื่อ มาย มอร์นิง แจ็กเก็ต มาช่วย ส่วนเพลง Born on the Bayou มีหนุ่มห้าว คิด ร็อก มาร่วมด้วย Someday Never Comes มีวงอเมริกันชื่อ ดาเวส มาร่วมแจม และรุ่นใหญ่ บ็อบ ซีเกอร์ ก็มาแสดงศักดาในเพลงฮิต Who’ll Stop the Rain ป๋าๆ ทรงพลังกันมากๆ กับเพลงนี้ ต่อด้วย Hot Rod Heart เป็นหน้าที่ของคันทรีแมน แบรด เพสลีย์ ส่วนเพลงดังที่คนไทยรู้จักดี Have You Ever Seen the Rain ได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ อลัน แจ็กสัน แห่งกองทัพคันทรีมาร่วมร้อง ก่อนจะปิดท้ายอย่างเมามันด้วย Proud Mary ซึ่งมี รีเบิร์ธ บราสส์ แบนด์ เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน และอัลเลน ทูสเซนต์ มาสร้างความสำราญ
ไอเดียของการทำอัลบั้มนี้มาจาก จอห์น ที่เชื่อว่า การทำงานดนตรีคือ การแบ่งปันกับผู้คน ความจริงแล้วเขาไม่จำเป็นต้องอาศัยแขกรับเชิญคนใด เพื่อที่จะโดดเด่นหรือดึงดูดความสนใจ แต่อัลบั้มนี้คงเกิดขึ้นมา เพื่อให้ป๋าเขาได้เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง เสียงกีตาร์ของจอห์น ยังคงก้องกังวานและมีชีวิตชีวา วงของเขารวมทั้งแขกรับเชิญล้วนแล้วแต่เป็นจอมยุทธผู้เชี่ยวกระบี่ จึงไม่ทำให้ใครผิดหวัง สีสันของเพลงเปลี่ยนไปจากเวอร์ชันเก่ามากบ้างน้อยบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับแหวกไปจนจำเค้าเดิมไม่ได้ เนื้อหาในบทเพลงของจอห์น มีหลากนัย ไม่ว่าจะเรื่องสังคม การเมือง สงคราม ฯลฯ แม้บางเพลงจะอายุ 40 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ล้าสมัย
บทเพลงทั้งหมดเคยคุ้นสนิทสนมกับคนฟังได้โดยไม่ต้องใช้เวลาเนิ่นนาน เพราะ จอห์น ฟอเกอร์ตี ตั้งใจที่จะทำมาเพื่อมอบให้ทุกคน
ลูกไม้ใต้ต้นของป๋าจอห์น
อัลบั้มนี้อาจจะเรียกว่าเป็นการแนะนำตัว เชน และไทเลอร์ ฟอเกอร์ตี ให้ชาวโลกได้รู้จักสองหนุ่มเป็นลูกชายจากภรรยาคนที่ 2 และคนปัจจุบันของ จอห์น ฟอเกอร์ตี พวกเขาเติบโตมากับเสียงเพลง ตั้งแต่ทั้งคู่ยังแบเบาะผู้เป็นพ่อจะหอบหิ้วครอบครัวรอนแรมเดินทางไปทุกที่เพื่อแสดงดนตรี
“ตอนนั้นผมก็คิดอะไรงี่เง่า ประมาณว่า ผมกำลังเลี้ยงดูเด็กๆ ที่จะเติบโตเป็นหมอ ทนาย เซลส์แมน หรืออะไรทำนองนั้น แล้ววันหนึ่งเด็กๆ ก็บอกว่า พ่อครับผมอยากเป็นนักดนตรีร็อกแอนด์โรล ผมถามภรรยาว่า มันเป็นอย่างนี้ได้ยังไงน่ะที่รัก เธอบอก คงเพราะพวกเขาได้ดูคอนเสิร์ตมาแล้วสักหมื่นครั้งล่ะมั้ง นั่นล่ะเหตุผล (หัวเราะ)”
ทั้งสองหนุ่มในวัยต้น 20 กำลังสร้างวงของตัวเอง และพวกเขาก็เลือกเพลง Lodi มาเพื่อบันทึกเสียงร่วมกับผู้เป็นพ่อเป็นครั้งแรก เพลงนี้บันทึกเสียงระหว่างผู้เป็นพ่อออกทัวร์ในอังกฤษ โดยใช้บริการของสตูดิโออันเป็นตำนานวงการร็อกอย่าง แอ็บบี โร้ด สตูดิโอ ป๋าจอห์นดูจะภาคภูมิใจในหน่อเนื้อเชื้อไขตัวเองไม่น้อย เขาเล่าว่าเป็นเหมือนความฝันที่ได้ทำงานลูกๆ


