จากโรงงานสู่บูธดีเจ เส้นทางฝันของ ‘นาคาเดีย’
สาวโรงงานจากโคราช โกอินเตอร์ไปโด่งดังที่ยุโรป เธอมีชื่อตามพาสปอร์ตไทยว่า “สีไพร มุ่งพันธ์กลาง” แต่คนทั่วโลกรู้จักเธอในชื่อ “ดีเจนาคาเดีย”
โดย...เพ็ญแข สร้อยทอง / ภาพ : ภัทรชัย ปรีชาพานิช
สาวโรงงานจากโคราช โกอินเตอร์ไปโด่งดังที่ยุโรป เธอมีชื่อตามพาสปอร์ตไทยว่า “สีไพร มุ่งพันธ์กลาง” แต่คนทั่วโลกรู้จักเธอในชื่อ “ดีเจนาคาเดีย” (DJ Nakadia) และระหว่างการสัมภาษณ์ เธอใช้คำแทนตัวด้วยชื่อเล่น “ปู”
เกิดและเติบโตที่นครราชสีมา ในครอบครัวชาวบ้านธรรมดา หลังจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 เธอทำงานใช้แรงแลกเงิน ผ่านมาหลายอาชีพ ก่อนจะค้นพบสิ่งที่เหมาะกับตัวเอง หลังจากไปใช้ชีวิตช่วงหนึ่งที่สมุย เธอก็ได้ออกโบยบินไปเยอรมนี และอีกหลายสิบประเทศทั่วโลก ได้การยอมรับในหน้าที่ดีเจผู้เปิดแผ่นให้ “คลับเบอร์” ทั้งหลายได้มีความสุขกับบทเพลงของเธอ
กลางเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ดีเจนาคาเดีย เดินทางจากเบอร์ลินซึ่งเป็นเสมือนบ้านหลังที่ 2 กลับมาเมืองไทยเพื่อเปิดแผ่นที่คลับดังในกรุงเทพฯ ก่อนจะลงใต้ไปทำงานที่สมุย และมาเลเซีย ระหว่างพักอยู่ในกรุงเทพฯ เราได้นัดพบกันที่ร้านกาแฟใจกลางสุขุมวิท เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับชีวิตและงาน
บทสนทนาของเราเริ่มต้นด้วยการเท้าความหลังเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว เมื่อ ดีเจนาคาเดีย เพิ่งจะมาเปิดแผ่นหาประสบการณ์ที่กรุงเทพฯ (รวมทั้งส่วนอื่นๆ ของโลก) และเราเคยได้สัมภาษณ์กันครั้งหนึ่ง
“โอ้ย ... ตอนนั้นปูยังเด็กมากๆ อยู่เลย คุยอะไรก็ไม่รู้เรื่อง ไม่มีเรื่องจะคุยด้วย (หัวเราะ) ที่ผ่านมาก็ได้สั่งสมประสบการณ์มาพอสมควรค่ะ จากที่ไม่รู้จักใคร ไม่รู้จักอะไร ทุกปีก็จะมีคอนเนกชันเพิ่มมากขึ้น ได้รู้จักกับดีเจชั้นนำ เป็นเพื่อนกันและคุยกับเขาเรื่องงานได้”
ในวัย 33 ปี ดีเจนาคาเดีย ได้เดินทางจากโลกใบเก่าสู่โลกใบใหม่ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และสิ่งที่นำทางให้เธอเดินทางมาได้ถึงจุดนี้ก็คือ ความฝัน ดนตรี และอาชีพดีเจ ทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว
หลังจากจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เพื่อหาเงินเลี้ยงตัวเองและครอบครัว เธอเดินเข้าสู่โรงงาน (ระหว่างนั้นเธอยังมุมานะไปเรียนการศึกษานอกโรงเรียนจนได้รับวุฒิการศึกษาระดับมัธยมปลาย “ไม่เคยเจออาจารย์เลยนะแล้วก็ไปสอบ ไม่ได้ความรู้อะไรเลยนะ เขาไปเรียนเอาวุฒิกันจริงๆ โกรธมากเลย เพราะเราอยากเรียน อยากได้ความรู้”) เธอทำงานจำเจอยู่หลายปี ก่อนจะออกมาดูแลร้านอินเทอร์เน็ต ระหว่างนั้นได้รู้จักกับเพื่อนออนไลน์ (ภายหลังกลายมาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเธอ) คนที่ตั้งคำถามกับเธอว่า อยากจะทำอะไรในอนาคต
สีไพร ในวันนั้นไม่อาจจะตอบคำถามได้อย่างแน่ชัด เธอเพียงเล่าให้เขาฟังเรื่องความรักดนตรี และความสนใจเครื่องกำเนิดเสียงอย่างสเตริโอ “ถ้าอย่างนั้นเธอน่าจะเป็นดีเจได้” เขาบอก แต่ในวันนั้นหญิงสาวนึกภาพอาชีพนี้ไม่ออก เพื่อนคนนั้นจึงตีตั๋วไปกลับไทยเยอรมนี เพื่อให้เธอได้ไปสัมผัสวิถีชีวิตดีเจจริงๆ การเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกคือจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ เธอกลับบ้านมาพร้อมความฝัน แรงบันดาลใจอันแรงกล้า และเครื่องเล่นแผ่นเสียงเพื่อใช้ฝึกฝนทักษะดีเจ
หญิงสาวใช้เวลาฝึกฝนด้วยตัวเองที่โคราช ก่อนไปเรียนและฝึกอย่างจริงจังที่เยอรมนีอีก 3 เดือน ระหว่างนั้นเธอก็ได้ไปเปิดแผ่นในคลับ ซึ่งสร้างความมั่นใจให้กับเธอมากมาย เมื่อต้องกลับบ้าน สีไพร ก็พบว่าโคราชไม่ใช่คำตอบที่ใช่สำหรับอาชีพดีเจ เธอจึงตัดสินใจเด็ดเดี่ยวลงใต้ไปสุราษฎร์ธานี ช่วงแรกต้องตื๊อขอไปเปิดแผ่นแบบฟรีๆ กระทั่งมีโปรโมเตอร์จากแดนกิมจิมาเที่ยวสมุย และประทับใจในฝีมือการเปิดแผ่นของเธอ จึงจ้างให้ไปเปิดแผ่นที่เกาหลี นับเป็นงานแรกในฐานะดีเจอินเตอร์
แนวทางดนตรีที่ดีเจนาคาเดียถนัด เป็นแนวทางที่ต้องกับรสนิยมชาวต่างชาติ จากแทรนซ์มาสู่เฮาส์ เทคโน และอื่นๆ “เมื่อกว่าสิบปีที่แล้ววงการดีเจของไทยสมัยนั้นครอบครองอยู่โดยดีเจต่างชาติ ทำให้ดีเจไทยมีโอกาสเกิดน้อย ยิ่งเป็นผู้หญิงด้วยแล้วละก็ อาจจะเรียกว่าแทบไม่มีโอกาส” เกาะสมุยหรือกรุงเทพฯ ก็อาจจะไม่ใช่คำตอบสุดท้าย นั่นก็ถึงเวลาที่จะโบยบิน เริ่มต้นจากเยอรมนีก่อนจะได้เดินทางไปทั่วโลกกว่า 50 ประเทศในเวลาต่อมา
ในช่วงเริ่มต้นงานที่ยุโรป สามารถเรียกได้ว่า นาคาเดีย เป็นดีเจหญิงไทยคนแรก (หรืออาจจะหญิงเอเชียคนแรก) ที่เข้าไปอยู่ในแวดวงดีเจตะวันตก “ทุกวันนี้ก็เริ่มมีให้เห็นมากขึ้น ที่ยุโรปอาชีพคลับดีเจได้รับการยอมรับนับถืออย่างมาก ทุกคนเข้าคลับเพื่อฟังดนตรี เต้นรำ ปาร์ตี้ และติดตามดีเจคนโปรด ในคลับพวกเขาจะสนใจดีเจ และมีปฏิกิริยาตอบรับกับดีเจตลอด”
แนวทางดนตรีที่เธอเปิดแผ่นเรียกว่า “อิเล็กทรอนิกส์ อันเดอร์กราวด์ มิวสิก” คลับที่เธอเปิดแผ่นเรียก “อันเดอร์กราวด์คลับ” เป็นสถานที่ซึ่งเสิร์ฟดนตรีทางเลือก ซึ่งเปิดโอกาสให้ดีเจแสดงความเป็นตัวเองอย่างชัดเจน ไม่ใช่เพลงฮิตในกระแสนิยมแบบที่เปิดใน “คอมเมอร์เชียลคลับ” แม้กลุ่มแฟนอาจจะไม่มากมายเท่า แต่ก็เหนียวแน่นชนิดที่ว่า ดีเจนาคาเดียถูกจองคิวยาวไปถึงปีหน้า
ดีเจนาคาเดียใช้เยอรมนีเป็นฐานหลายปี (“เบอร์ลินเป็นเมืองศิลปิน คลับเยอะ คนในแวดวงดนตรีอิเล็กทรอนิกส์อยู่ที่นั่นเยอะ อบอุ่นค่ะ”) ก่อนจะได้วีซ่าศิลปิน ซึ่งทำให้ชีวิตง่ายขึ้นในการเดินทางเข้าออกประเทศต่างๆ หลังสั่งสมประสบการณ์นอกบ้านเกิดมานาน 11 ปี เคยผ่านอีเวนต์ใหญ่ๆ อย่างงานฟุตบอลโลกปี 2006 เคยร่วมในเทศกาลดนตรีที่มีคนเข้าร่วมกว่าล้านคน ทั้งยังได้ร่วมงานกับดีเจและศิลปินดังทั่วโลก วันนี้เธอแกร่งและกล้ามากพอที่จะขยับตัวเองเป็นโปรดิวเซอร์และศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานของตัวเอง โดยอีพี Check & Run ของดีเจนาคาเดีย ออกวางขายเมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา (สนใจเข้าไปติดตามผลงานของเธอได้ที่ beatport.com/artist/nakadia หรือ itunes)
“ปูเรียนรู้เรื่องการทำเพลงเอง ดูและถามจากคนที่เขามีประสบการณ์ก็เรียนรู้มาเรื่อยๆ ตอนอายุ 24–25 ช่วงที่เริ่มต้นอาชีพนี้ ปูอายเขานะ เพราะว่าเราไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ว่าตอนนี้ 30 แล้ว แต่ภูมิใจในตัวเอง เพราะเรามีประสบการณ์ เราคุยกับเขาได้ทุกเรื่อง เราโตขึ้น ได้รับการยอมรับมากขึ้น
“การที่เราได้รู้จักคนสำคัญในวงการเยอะๆ ก็ทำให้เกิดเป็นแรงบันดาลใจ ทำให้รู้ว่ากว่าจะเดินขึ้นบันไดแต่ละขั้นมันยาก พอมาเจอคนกลุ่มนี้ เราก็จะรู้ว่าจะเดินไปยังไง เพราะว่าคนพวกนั้นก็ผ่านชีวิตช่วงชีวิตมาเหมือนกัน ที่ผ่านมาก็มีคนพยายามจะดึงเราลงมา ทำให้เราเดินช้าลง แต่เราไม่ยอม เราจะเดินขึ้นไป”
ในหนึ่งปี นาคาเดีย เดินทางเกือบทุกสัปดาห์ “ส่วนใหญ่คลับที่ยุโรปมักจะเปิดเฉพาะศุกร์เสาร์ แต่ถ้าเป็นช่วงฤดูร้อนก็จะมีอีเวนต์ระหว่างสัปดาห์บ้าง ประเทศที่ไปบ่อยคือ สวิตเซอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ และเกาะเรอูนียงของฝรั่งเศส ใกล้กับมอริเชียส”
ระหว่างทางที่ผ่าน ดีเจนาคาเดีย ผ่านพบหลายปัญหา ได้พบเจอคำว่าร้ายทั้งต่อหน้าและผ่านเฟซบุ๊ก เขาว่าเธอเป็นแค่ดีเจปลอมๆ ไม่ได้มีความสามารถจริงๆ แค่หน้าสวย หุ่นดี มาทำท่าเปิดเพลงจากคอมพิวเตอร์ที่มิกซ์มาแล้วจากบ้าน!?
“เป็นไปได้ว่าท่าทางเวลาเราอยู่ในบูธดีเจอาจจะทำให้คนคิดแบบนั้นได้ค่ะ เหมือนจับโน่นนิด นี่หน่อย แล้วก็โยกตามจังหวะ แต่จริงๆ ไม่ใช่นะ คนที่เป็นดีเจหรือรู้เรื่องพวกนี้เขาก็จะรู้ว่า เรากำลังทำงานอยู่จริงๆ ไม่ได้มาโชว์ออฟสวยๆ ซึ่งก็ไม่รู้จะทำอย่างนั้นทำไม เรารักงาน สนุกกับการทำงาน กับคนที่ว่าเราอย่างนั้นก็ไม่อยากยุ่ง ไม่อยากตอบโต้ เราก็ทำงานของเราไป...”
ความมุ่งมั่นทำงานต่อไปแทนที่จะไปแก้ข่าวหรือแก้ตัว เป็นวิธีพิสูจน์ตัวเองแบบนาคาเดีย และการที่เธอก้าวจากการเป็นดีเจเปิดแผ่นมาเป็นโปรดิวเซอร์และศิลปินซึ่งสามารถสร้างสรรค์ผลงานของตัวเองออกวางขายได้ก็คือ คำตอบที่จริงจังหนักแน่นสำหรับทุกคำถามหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวเธอ
ย้อนกลับไปในวันวาน เมื่อเริ่มจริงจังกับอาชีพดีเจ เธอเคยคิดที่จะใช้ชื่อ เลดี้สีไพร ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น นาคาเดีย ซึ่งเลียนเสียงให้คล้องจองกับชื่อของดีเจคนโปรด คำว่า “เดีย” มาจากชื่อที่ชอบ และคำว่า “นะคะ” ซึ่งบอกว่าเธอคือ สาวไทย
“เราภูมิใจที่เป็นคนไทย ถึงจะทำให้เรามีปัญหาอยู่เยอะ อย่างช่วงแรกๆ ปูจะมีปัญหาเรื่องวีซ่าตลอด เพราะว่าเราเป็นผู้หญิงคนไทยแล้วเราเดินทางคนเดียว บางครั้งไปหลายประเทศ ไปคืนเดียวแล้วก็กลับ มีครั้งหนึ่งปูเดินทางจากเกาะสมุยไปอาร์เจนตินา รวมแล้วประมาณ 40 ชั่วโมง ไปเล่นแค่ชั่วโมงเดียวแล้วก็กลับ มันก็คิดได้ว่าเราไปทำงานอย่างนั้น หรืออาจจะค้ายา ช่วงแรกจะโดนบ่อย แต่ปูก็ใช้ความบริสุทธิ์ของเราพิสูจน์ แรกๆ ก็ร้องไห้นะ แต่พอเจอบ่อยแล้วเราก็รู้ว่าจะเอาตัวรอดยังไง ในยุโรปก็โดนบ่อยๆ แต่พอได้อาร์ติสต์วีซ่าของเยอรมนีก็ไม่เคยเจอตรวจเลย”
การเดินทางแทบจะตลอดเวลา ทำให้หญิงสาวเหน็ดเหนื่อย แต่เพราะความรักงานและดนตรีทำให้เธอฝ่าฟันมาได้ จากนี้ไปหญิงสาวยังมีเรื่องที่ต้องพิสูจน์อีกเยอะ ไม่ว่าจะเรื่องการทำงานเพลงส่วนตัว การทำหน้าที่ดีเจให้เป็นที่รู้จักมากกว่าเก่า รวมทั้งทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น
“อาชีพนี้ก็เหนื่อยกับการเดินทาง แต่ถ้าให้ปูไปอยู่กับที่ ได้เจอแต่คนเดิมๆ ก็ไม่เอานะ เมื่อก่อนเราทำงานโรงงานเจอแต่คนเดิมๆ งานเดิมๆ ทั้งชีวิตก็อยู่แต่ที่โคราช ไม่เคยได้ไปไหนหรือเที่ยวไหนเลย ตอนนี้ก็เปลี่ยนที่ทุกวัน เปลี่ยนคนทุกวัน มันเหมือนคนละโลก ตรงกันข้ามเลย
“ปัจจุบันนี้ก็ไม่ได้รวยนะคะ ก็พอมี บางงานก็ได้เงินเยอะ บางงานก็ได้เงินน้อย บางงานก็ไม่ได้เงิน บางงานก็ช่วยเขาบ้าง ช่วงไหนงานเยอะก็เก็บเงินไว้ใช้ช่วงที่งานน้อย อยากได้อะไร อยากกินอะไรก็ได้ แต่ต้องมีลิมิต ต้องซื้อเครื่องเคราอุปกรณ์บ้าง เพราะมันก็แพงอยู่ ก็ถือว่าไม่ได้ลำบาก ถ้าเรามีผลงานออกมามากขึ้น ค่าตัวเราก็จะเยอะขึ้น น่าจะสบายขึ้น ตอนนี้พ่อแม่ก็ภูมิใจที่เห็นเรามีงาน มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น”
วันนี้ ดีเจนาคาเดีย ได้ทำความฝันของเธอให้กลายเป็นจริงไปแล้วระดับหนึ่ง ด้วยเรื่องราวการต่อสู้ของหญิงสาว กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่พบเห็น


