เมื่อคอนโดล้นเมือง คนสุขุมวิท...วันนี้อยู่ที่ไหน
คนสุขุมวิทดั้งเดิมที่บรรพบุรุษเกิดและเติบโตมาในย่านนี้ วันนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนกันบ้าง เป็นคำถามสำคัญเมื่อความเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยคอนโดมิเนียม
โดย...กองบรรณาธิการ ภาพภัทรชัย ปรีชาพานิช/วิศิษฐ์ แถมเงิน
คนสุขุมวิทดั้งเดิมที่บรรพบุรุษเกิดและเติบโตมาในย่านนี้ วันนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนกันบ้าง เป็นคำถามสำคัญเมื่อความเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยคอนโดมิเนียม อาคารพาณิชย์ รุกล้ำความเป็นบ้านเรือน
ถนนสุขุมวิทไม่ได้เป็นของชาวสุขุมวิทดั้งเดิมอีกต่อไป สุขุมวิทวันนี้เป็นแหล่งระดมผู้คนทั้งในและนอกประเทศเข้ามาอยู่ร่วมกัน
คนสุขุมวิทแท้บางคนย้ายออกไปอยู่ชานเมือง บางครอบครัวเมื่อเกษียณย้ายไปใช้ชีวิตบั้นปลายบ้านหลังที่สองต่างจังหวัดที่เคยไปๆ มาๆ เมื่อครั้งยังหนุ่มสาว
ส่วนคนที่ยังอยู่ก็เก็บตัวอย่างเงียบเชียบ บางคนเล่าความนัยว่าในที่สุดก็อาจต้องอพยพออกไป ด้วยทุนนิยมดาหน้าเข้ามาเคาะประตูขอซื้อที่ในราคาแพงลิบลิ่วขึ้นทุกวัน
ถ้ากล่าวถึงตำนานของสุขุมวิท ต้องเริ่มต้นจากตระกูลนานาราชาที่ดินย่านซอยนานาที่มีสำนักงานใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ตั้งเด่นเป็นสง่า
‘นานา’ อพยพไปนนทบุรี
ไกรฤกษ์ นานา ผู้บริหารบริษัทด้านการท่องเที่ยว นักวิเคราะห์โบราณคดี และนักเขียนผู้คร่ำหวอดในแวดวงประวัติศาสตร์สยาม ทายาทรุ่นที่ 4 สายที่ 13 แห่งตระกูลนานา ตระกูลเก่าแก่ที่ต้นสายบรรพบุรุษมาจากเมืองสุรัตแห่งแดนภารต เจ้าของที่ดินดั้งเดิมย่านสุขุมวิท ที่มิได้พำนักอยู่ที่สุขุมวิทอีกต่อไป แต่ย้ายออกมาอยู่ ที่ จ.นนทบุรี นานแล้ว
ตระกูลนานาเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต้นตระกูลคนแรก เป็นคหบดีชื่อ ฮัจยี อาลี อะหะหมัด นานา ต่อมารับราชการในกรมพระคลังสินค้า ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระพิเชตสรรพนิช
พระพิเชตสรรพนิช แต่งงานกับภรรยา 5 คน มีบุตรธิดา 15 คน อาศัยอยู่ที่บริเวณหลังวัดอนงคาราม ฝั่งธนบุรี ต่อรุ่นลูกจึงกระจายไปอาศัยอยู่ที่อื่น บุตรชายคนโต “อิบราฮีม อาลีบาย นานา” (ปู่ของเล็ก นานา) เป็นผู้บุกเบิกจับจองซื้อที่สุขุมวิทปลูกสร้างบ้านตึกสีขาว ต่อมาเป็นที่รู้จักในชื่อ “บ้านตึกขาว” ตั้งอยู่ปากซอยสุขุมวิท 1 ในปัจจุบันกลุ่มนานายังจับจองที่ดินรวมแล้วอีกหลายแปลง กลายเป็นที่ดินผืนใหญ่หลายผืน ทยอยไปตั้งแต่สุขุมวิท 1 ถึงสุขุมวิท 47 เกือบทุกซอย
สำหรับไกรฤกษ์ มีปู่ชื่อ “ยูซุฟ อาลีบาย นานา” (ชื่อไทย โสภณโกศล นานา) ซึ่งเป็นลูกคนที่ 13 ของพระพิเชตฯ จากชุมชนหลังวัดอนงคาราม ปู่ย้ายไปอยู่ที่ถนนบำรุงเมือง บริเวณสะพานช้างโรงสี
ไกรฤกษ์เกิดและโตที่บ้านหลังนี้จนอายุ 9 ขวบ ต่อมาบิดา “อารี นานา” ซึ่งมีภรรยา 2 คน ภรรยาคนแรก มีบ้านอยู่ที่สุขุมวิท ส่วนคนที่ 2 อยู่ที่สาธุประดิษฐ์
“บ้านของคุณพ่อกับภรรยาคนแรกอยู่ที่สุขุมวิท 23 หรือซอยประสานมิตร คุณพ่อส่งผมซึ่งเป็นลูกภรรยาคนที่ 2 ไปกินไปนอนอยู่ที่บ้านหลังนี้ ผมอยู่ทั้งบ้านสาธุประดิษฐ์และบ้านสุขุมวิทจนโต”
สุขุมวิทยุคเมื่อ 40-50 ปีก่อน เป็นบ้านนอก เป็นเรือกสวนไร่นา เงียบ สงบ กาลเปลี่ยนผ่าน สุขุมวิทก็ผ่านเปลี่ยน ถนนสายสำคัญพัฒนาขึ้น ร้านรวงทันสมัยค่อยๆ ผุด จนเรียกได้ว่าทัดเทียมกับสีลม ย่านทันสมัยอีกแห่งของกรุงเทพฯ สมัยนั้น
ซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งแรก ชื่อใต้ดินสโตร์ เกิดขึ้นที่นี่ สุขุมวิทกลายเป็นย่านหรู โดยขึ้นชื่อเป็นย่านอยู่อาศัยของฝรั่งชาวต่างชาติ มีป้ายต่างๆ เป็นภาษาอังกฤษ
ไกรฤกษ์ เล่าว่า ซอยนานา สมัยที่เขาเป็นเด็ก เป็นย่านแขกอินเดียเก่า ต่อมามีอาหรับเข้าไปอยู่ มีร้านอาหารอาหรับ มีคนนั่งดูดบารากู่ บรรยากาศพาไปและกลายเป็นชุมชนอิสลามในเวลาต่อมา เพียงแต่เปลี่ยนจากแขกอินเดียมุสลิมมาเป็นอาหรับ นานากลายเป็นย่านหาของกินง่ายสำหรับมุสลิม มีบาแลให้ละหมาด เวลาเดือนบวชทุกคนจะมาออแถวนี้ รอเวลาแก้บวชตอน 6 โมงเย็น
จากนั้นก็มีร้านตัดผมสำหรับพวกอาหรับ มีป้ายอาหรับ มีร้านขายยาของพวกอาหรับ มีร้านส่งออกรับเข้าสินค้าที่ค้าขายกับอาหรับ กลายเป็นย่านอาหรับราตรี แล้วก็มาเพี้ยนในตอนหลัง นักท่องเที่ยว ก็จะมากัน พัฒนาเป็นซอยคาวบอยและซอยนานาในปัจจุบัน ทำให้ย่านนี้ทั้งหมดเปลี่ยนโฉมหน้าไปเลย
“สุขุมวิทในชั้นหลังพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวกลางคืน ที่เต็มไปด้วยนักเที่ยวหลายชาติหลายภาษา ตอนนี้ได้ข่าวว่ามีสุภาพสตรีจากรัสเซียอะไรอย่างงี้ อันนี้ก็เพิ่งมาไม่กี่ปี แต่สมัยผมเด็กๆ ไม่มีเลย ผู้คนสมัยก่อนชีวิตกลางคืนไม่มี ซอยคาวบอยไม่มี ซอยนานา นานาพลาซ่า และโรงแรมนานา สถานบันเทิงในย่านนี้ล้วนเกิดขึ้นภายหลัง และไม่ได้เกี่ยวข้องกับตระกูลนานาเลย”
สุขุมวิทที่เปลี่ยนแปลง ความแออัด และบรรยากาศการอยู่อาศัยที่พลุกพล่านจอแจ ทำให้ไกรฤกษ์และครอบครัวตัดสินใจย้ายออกจากสุขุมวิทไปอยู่ที่ จ.นนทบุรี ร่องรอยของตระกูลนานาที่สุขุมวิทยังคงหลงเหลือให้เห็นบ้าง ได้แก่ คนนานาที่ยังอยู่ตรงนั้น เช่น พี่สาวแท้ๆ ของไกรฤกษ์ก็ยังอยู่ที่นั่น แต่อยู่อย่างเงียบกริบ
“บ้านพี่สาวผมยังอยู่ตรงข้ามสถานทูตฟิลิปปินส์ ท่านอยากย้ายออกแต่ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน เนื่องจากอายุมากกว่า 80 ปีแล้ว ถ้ายังอยู่ในพื้นที่ก็ต้องอดทน สุขุมวิทวันนี้คนเก่าๆ ในพื้นที่ยังฝังตัวอยู่ แต่มีชีวิตที่สมถะมาก ใช้ชีวิตมาสมัยเมื่อ 40-50 ปีอย่างไร ก็ยังใช้ชีวิตแบบนั้น”
ไกรฤกษ์ เล่าว่า บ้านของพี่สาวมีคอนโดมิเนียมสูง 40 ชั้น มาติดชายคาบ้าน ทำให้รู้สึกกลัว โดยสิ่งของตกจากที่สูงก็เกรงจะอันตราย จะเดินหรือจะออกกำลังกายในบริเวณก็ไม่ปลอดภัยและไม่มีความเป็นส่วนตัวเหมือนเก่า ของตกจากที่สูงทำอันตรายถึงชีวิตได้ ลมพัดแรงทีหนึ่ง ต้องมีอะไรหล่นลงหลังคาให้ได้ซ่อมไม่เว้นแต่ละวัน ไม่นับความอึดอัดขัดใจกับความอึกทึกครึกโครม ถนนหนทางมีแต่ป้ายภาษาญี่ปุ่น
“เมื่อผมนึกถึงสุขุมวิท ผมจะหวนนึกถึงปู่ย่า ตายาย หรือเวลานั่งรถไฟฟ้าบีทีเอส ก็จะภูมิใจนิดๆ เวลารถไฟฟ้าจอดที่สถานีนานา ผมจะชะเง้อมองลงไป เพื่อมองบ้านตึกขาว ซึ่งเป็นบ้านของพวกนานาเก่า ได้หวนคำนึงว่า อ๋อ คุณปู่ใหญ่เคยอยู่ที่นี่ ตระกูลของเราอยู่ที่นี่”
‘ทองใหญ่’ เกษียณย้ายถิ่น
ครอบครัวทองใหญ่ ม.ล.ทองมกุฎ ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไทยพาณิชย์ วัย 44 ปี และภรรยา “จารุจิตร”
ต้นตระกูลของเขา คือ คุณตา ที่เป็นราชสกุลทองใหญ่ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม หรือพลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ โอรสในรัชกาลที่ 4
บิดาเขา คือ ม.ร.ว.นับทอง ทองใหญ่ อดีตทูตพาณิชย์ และมารดากุลนิติ ทองใหญ่ ณ อยุธยา ที่เปลี่ยนไปใช้ชีวิตยามเกษียณ ด้วยการทำไร่กาแฟ ที่เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ แล้ว
เขาและภรรยาย้ายที่อยู่มาครั้งหนึ่งแล้วจากวังหม่อมเจ้าหญิงกรัณฑ์คำ (คุณป้า) มาอยู่ตึกที่คุณพ่อคุณแม่เขาสร้างขึ้นในซอยพร้อมพงศ์ สุขุมวิท 39 ดงคอนโดมิเนียมในปัจจุบัน
“เคยอยู่วังท่านหญิงกรัณฑ์คำอยู่สุดเขตวัฒนา วังของคุณป้าจนกระทั่งสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์นายกรัฐมนตรี สมัยนั้นได้มีการถมคลองทำเป็นถนนสุขุมวิท วังติดถนน พลุกพล่านจึงถูกขายแล้วย้ายมาอยู่ซอยพร้อมพงศ์ที่คุณยาย (เผชิญ) ซื้อไว้หลังสงครามเมื่อ 50 ปีก่อน บนพื้นที่ 2 ไร่สมัยนั้นราคาเพียงหลักหมื่นบาท”
ม.ล.ทองมกุฎ เล่าว่า พร้อมพงศ์เมื่อสมัยเขายังเด็กเหมือนบ้านนอก
“สมัยโน้นถ้าเลยซอยอโศกไปไม่เจริญ แถวนั้นเป็นที่รกร้างว่างเปล่าเหมือนป่า”
เมื่อย้ายมาอยู่กับคุณยาย มารดาของเขาได้สร้างตึกให้เช่า และเมื่อบิดาเกษียณอายุงานเมื่อ 20 ปีก่อนได้สร้างอาคารที่อยู่อาศัย 4 ชั้น สำหรับบิดาและมารดา 1 ชั้น ที่เหลือสำหรับลูกทั้งสามคนและครอบครัว
ย่านพร้อมพงศ์เจริญขึ้นอย่างมากเมื่อปี 2540 เมื่อห้างสรรพสินค้าดิ เอ็มโพเรียม ถือกำเนิดในเวลาไล่เลี่ยกับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2542
จากนั้นความเจริญได้ดาหน้าเข้ามา รถราขวักไขว่ติดขัดมีการก่อสร้างคอนโดมิเนียมขึ้นราวดอกเห็ด จนซอยพร้อมพงศ์กลายเป็นซอยที่เป็นจุดเสี่ยงน้ำท่วมเมื่อปลายปี 2554
ถนนในซอยทรุดรถเก๋งแทบจะขับเข้าไม่ได้ต้องใช้รถโฟร์วิล มีคอนโดมิเนียมแทบทุกแบรนด์เกิดขึ้นในซอยรวมถึงการก่อสร้างห้างสรรพสินค้าเอ็มโพเรียม 2
“จารุจิตร” เล่าว่า เมื่อก่อนจะให้ลูกสาวออกกำลังกายโดยการปั่นจักรยานภายในบริเวณบ้าน แต่เมื่อเกิดการก่อสร้างคอนโดมิเนียมมีฝุ่นควัน ฟุ้งกระจายมากจึงเปลี่ยนให้ลูกไปออกกำลังกายที่โปโลคลับ
ครอบครัวไกรฤกษ์ที่เป็นญาติกันมีบ้านอยู่บริเวณเดียวกันเมื่อมีการก่อสร้างห้างสรรพสินค้าดิ เอ็มโพเรียม แห่งที่สองใกล้ๆ รวมถึงคอนโดมิเนียมทำให้บ้านสั่นสะเทือนเพราะเป็นบ้านแบบโบราณต้องอพยพมาอาศัยในอาคาร 1 ชั้น แทนที่บิดามารดาของ ม.ล.ทองมกุฎ ที่ย้ายออกไปแล้ว
หากเป็นวันหยุดเสาร์และอาทิตย์ หรือนักขัตฤกษ์ ครอบครัวทองใหญ่จึงชอบไปขลุกอยู่ที่บ้านพักเขาใหญ่ เพื่อพักผ่อนได้ใช้ชีวิตในป่ากับธรรมชาติที่เงียบสงบ
อย่างไรก็ตาม ความเจริญแถบนี้ทำให้การใช้ชีวิตสะดวกสบายขึ้น คนญี่ปุ่นจะชอบอยู่ย่านนี้มากเพราะมีร้านอาหารญี่ปุ่น อิตาลี และร้านหนังสือญี่ปุ่นเต็มไปหมด
บ้านโบราณในดงคอนโด
เผ่าทอง ทองเจือ นักประวัติศาสตร์และโบราณคดี ที่ทำธุรกิจร้านขายผ้าโบราณและธุรกิจทัวร์ เป็นชาวสุขุมวิทอีกคน ที่ครอบครัวอาศัยอยู่บ้านทรงไทยหลังใหญ่พื้นที่ 1 ไร่ ในซอยสุขุมวิท 34 อายุร่วม 100 ปีมาแล้ว ตั้งแต่รุ่นคุณตา
เขาเล่าว่า เมื่อก่อนมีหลายไร่แต่แบ่งขายไปเมื่อความเจริญเข้ามา ร้านโชห่วยข้างบ้านได้หายไปกลายเป็นบิ๊กซี และเทสโก้ โลตัส
ตอนนี้มีคอนโดมิเนียมสูง 50-60 ชั้นล้อมรอบ อากาศอับ รถติด คนเยอะ จอดรถเกะกะบนถนน สัญญาณโทรศัพท์ ทีวีไม่ค่อยมี เพราะตึกบัง
“เมื่อก่อนจะรู้ว่าหน้าหนาว เพราะลมหนาวจะมาทางทิศเหนือ ตอนนี้ไม่รู้แล้วเพราะตึกบัง”
เขาเล่าว่า มรดกที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้อยู่มาตั้งแต่สมัยรอบบ้านยังเป็นร่องผัก 2 ฝั่งถนนเป็นคลอง ทุกบ้านมีสะพานไม้ข้ามบ้านตัวเองจนกระทั่งมีรถไฟฟ้า
ความเจริญทำให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้น เดินทางไปไหนในกรุงเทพฯ นั่งรถไฟฟ้า


