'ชัย' วางปากกา ‘ผมเหนื่อย ล้าเต็มทน’
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา
โดย...ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม ภาพ นสพ.ไทยรัฐ
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา
ใครล่ะจะคิดว่า “ชัย ราชวัตร” จะวางปากกา ปิดตำนาน “ผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมิน” ที่อยู่คู่หน้า4 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐมานานถึง 34 ปี
ที่พูดคือเรื่องจริงจากปาก “ชัย ราชวัตร” หลังเจ้าตัวยืนยันกับ @Weekly ว่า ในอนาคตอันใกล้นี้จะเลิกเขียนแน่ เพราะอายุมาก เหนื่อย และล้าเต็มที
“ผมลากสังขารมานานเต็มที และก็ 72 อายุมากแล้วด้วย การ์ตูนมันก็เหมือนตัวคนเขียนแหละ คือ มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันควรจะวางมือตั้งนานแล้ว ถึงแม้ใจผมชอบการเขียนการ์ตูน แต่พอเขียนนานๆ เข้ามันกลายเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ ชอบไม่ชอบก็ต้องทำ ไม่มีอารมณ์จะเขียนก็ต้องทำ มันบังคับไปแล้ว และมันก็ไม่สนุกเหมือนเดิมแล้ว ที่ผ่านมาโรงพิมพ์ก็ต่ออายุให้เราเรื่อยๆ ปกติไทยรัฐเขาเกษียณอายุ 60 ตอนนี้ต่ออายุมา 72 แล้ว ไหนยังต้องคอยหลบภัยจากเรื่องการเมืองนี่ มันไม่สนุกหรอก ผมคงหาทางลงที่มันค่อยๆ ลง แต่ไม่ใช่ปุ๊บปั๊บ โดดลงจากเวทีเลย”
อาการเหนื่อยที่ “ชัย ราชวัตร” หมายถึง คือ ทำงานช้าลงกว่าจะเขียนงานแต่ละชิ้นเสร็จ คิดนานไม่เหมือนเมื่อก่อน เขาบอกว่า ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกลา ในที่สุดมันก็ต้องหยุดงานประจำ แต่อาจเป็นนานๆ ปล่อยของออกมาที
“สมัยก่อนเราเขียนการ์ตูนใหม่ๆ เราก็พยายามว่า วันนี้เขียนได้เท่านี้ พรุ่งนี้ต้องเขียนให้ดีกว่านี้ มะรืนนี้จะต้องเขียนให้ดีกว่าพรุ่งนี้ แต่พอถึงจุดหนึ่งแล้วมันกลายเป็นว่า วันนี้ต้องพยายามเขียนให้ได้เหมือนเมื่อวาน มันกลับกัน เพราะมันถึงจุดสูงสุดของเราแล้ว เราจะเขียนให้ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว
“ถึงผมจะหยุดไปก็ไม่ได้หมายความว่า เหนื่อยอ่อนเพราะเราเบื่อการเมืองแล้ว บ้านเมืองเป็นยังไงช่างมัน แต่ผมอยากให้คนอื่นได้แสดงบ้าง ตัวเองมาเป็นกองเชียร์อยู่ข้างๆ แล้วก็มีโอกาสตอดนิดตอดหน่อยบ้าง ก็คงมีนักเขียนการ์ตูนคนต่อไปที่จะสร้างการ์ตูนชุดใหม่ขึ้นมา”
ที่มาไอ้จ่อยผู้ใหญ่มา
34 ปีกับการ์ตูนล้อการเมือง “ผู้ใหญ่มากับทุ่งมาเมิน” ได้ทำหน้าที่สะท้อนเหตุบ้านการเมืองในแต่ละยุคสมัยเป็นอย่างดี จุดกำเนิดเริ่มที่หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ แต่เขียนไปไม่นานก็ย้ายวิกมาอยู่ไทยรัฐกระทั่งปัจจุบัน ส่วนที่มาของตัวละคร “ผู้ใหญ่มา” กับ “ไอ้จ่อย” สนทนากันเรื่องปัญหาบ้านเมือง “ชัย ราชวัตร” เล่าเบื้องหลังว่า ได้ไอเดียมาจากช่วงที่อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เขียนเรื่องสั้นวิจารณ์ระบอบเผด็จการทหารโดยใช้สัญลักษณ์ จดหมายจากนายเข้ม เย็นยิ่ง ถึง นายทำนุ เกียรติก้อง นายเข้ม คือ ตัวอาจารย์ป๋วย ซึ่งเป็นชื่อจัดตั้งตอนเป็นเสรีไทยต้านญี่ปุ่น ทำหน้าที่เป็นชาวบ้านวิจารณ์การปกครองของหัวหน้าหมู่บ้านชื่อ ทำนุ เกียรติก้อง แปลมาจาก ถนอม กิตติขจร นั่นเอง
“ผมก็ได้ไอเดียจากตรงนั้น เพราะรัฐบาล พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ซึ่งมาจากการปฏิวัติ แม้จะให้เสรีภาพกับประชาชน แต่การจะเขียนอะไรก็ได้ไม่เต็มที่ ผมเลยก็สมมติประเทศขึ้นมาเป็นหมู่บ้าน ใช้ชื่อว่า ทุ่งหมาเมิน แล้วก็สมมติตัวผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งก็คือนายกฯ ที่เป็นผู้ปกครองหมู่บ้าน และก็มีไอ้จ่อยเป็นลูกบ้าน คอยทักท้วงกับผู้ใหญ่มาซึ่งเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน วันแรกก็คิดแค่ตัวละครสองตัวถกเถียงปัญหาบ้านเมือง แล้วก็มีตัวเฒ่าย้อย เถ้าแก่ตามมาทีหลัง แล้วแต่เหตุการณ์แต่ละเรื่อง”
“ชัย ราชวัตร” ชื่อจริง สมชัย กตัญญุตานันท์ เป็นชาว จ.อุบลราชธานี เดิมทำงานธนาคาร ก่อนลาออกมาเข้าสู่วงการหนังสือพิมพ์เมื่อปี 2515 ขณะที่บ้านเมืองอยู่ภายใต้เผด็จการทหาร เริ่มเขียนการ์ตูนที่แรกให้หนังสือพิมพ์มหาราษฎร์ จากนั้นไม่นานเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 ประชาธิปไตยเบ่งบาน มีหนังสือพิมพ์ออกมาหลายฉบับ มหาราษฎร์ปิดตัวเองลง “ชัย ราชวัตร” ย้ายไปอยู่หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ โดยวาดภาพประกอบ “งิ้วการเมือง” กระทั่งเกิด 6 ตุลา 2519 แน่นอน เขาไม่ต่างจากนักหนังสือพิมพ์รายอื่นที่ต้องหลบลี้หนีภัยอำนาจมืด เพราะ “รัฐบาลหอย” ไล่จับกุม ปิดหนังสือพิมพ์ที่วิจารณ์รัฐบาล
หลบภัยไปสหรัฐยุคเผด็จการ
“ยุคปฏิวัติมีการจับกุม 3 นักศึกษา กับกลุ่มปัญญาชน นักหนังสือพิมพ์ สมัคร สุนทรเวช เป็น รมว.มหาดไทย สมัครก็เรียก บก.เข้าไป แล้วก็สั่งห้ามฉบับนั้น คนนั้นคนนี้เขียน แต่ละฉบับก็จะมีลิสต์ถูกห้ามเขียน ผมเองก็ถูกห้ามด้วย มันก็ต้องหนี ถ้าไม่หนีก็ไม่รู้จะโดนตั้งข้อหาอะไร เพราะตอนนั้นพอจับกุมแล้วก็ขึ้นศาลทหารไม่ใช่ศาลปกติ ซึ่งศาลทหารก็ขังลืมไปเลย ไม่มีใครฟ้องร้อง”
“ชัย ราชวัตร” ตัดสินใจหนีไปอยู่สหรัฐ ต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการล้างถ้วยชามในบาร์ ผับ แต่ก็ไม่ทิ้งเลือดผู้รักความเป็นธรรม เพราะยังเข้าร่วมงานกับชมรมชาวไทยเพื่อประชาธิปไตยรณรงค์ต่อสู้ช่วยเหลือนักศึกษาที่ถูกจับตอน 6 ตุลา 2519 พร้อมกับทำหนังสือพิมพ์ไทย ชื่อ สันติภาพ ซึ่งเป็นแนวต่อต้านรัฐบาล อยู่อเมริกาได้ 2 ปี พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ปฏิวัติ รัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร เริ่มคืนเสรีภาพให้ประชาชน หนังสือพิมพ์สามารถวิจารณ์รัฐบาลได้ จึงวางแผนกลับเมืองไทย
“ผมอยากกลับเมืองไทย เพราะการไปอยู่เมืองนอก มันก็เหมือนเป็นพลเรือนชั้นสอง พอดีทางเดลินิวส์ตอนนั้นมี เปลว สีเงิน เป็นหัวหน้ากอง บก. เขาโทรทางไกลไปหาผมว่า จะกลับเมืองไทยไหม ถ้ากลับก็มาเลย เพราะบ้านเมืองเริ่มมีเสรีภาพในการเขียนแล้ว จึงตอบตกลงทันที พออยู่เดลินิวส์ได้ 23 เดือน ก็มีปัญหาขัดแย้งกับนายทุนหนังสือเกี่ยวกับการบริหาร เมื่อ เปลว สีเงิน ลาออก ผมก็เลยลาออกตาม แต่โชคดีที่ไทยรัฐชวนไปเขียนการ์ตูนผู้ใหญ่มาต่อในปี 2522”
ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายยุค ย่อมถูกคุกคามเป็นธรรมดา “ชัย ราชวัตร” ยอมรับว่า มีบ้างเป็นครั้งคราว แต่ไม่ถึงกลับสาหัส หรือถูกฟ้องร้อง ส่วนใหญ่จะเป็นจดหมายเตือนหรือขู่จะฟ้อง เพราะแต่ก่อนไม่มีเฟซบุ๊กเหมือนปัจจุบัน มีครั้งหนึ่งมีนายทหารออกมาขู่ว่า ทหารจะเอกเซอร์ไซส์ ความหมายคือ จะปฏิวัติอีก และโจมตีสื่อว่า ขัดขวางไม่ให้ทหารมาบริหารประเทศทั้งที่ทหารเรียนจบ จปร.มา เขาเขียนการ์ตูนแซวว่า จปร. ย่อมาจากเจ๋งเป้งทุกเรื่อง เท่านั้นแหละ เลขานุการกองทัพบกทำจดหมายมาว่า จะฟ้องร้องข้อหาหมิ่นสถาบัน เพราะ จปร.เป็นพระปรมาภิไธย เอามาล้อเลียนไม่ได้ แต่สุดท้ายเรื่องก็เงียบ
ยุคไหนเขียนยากง่าย
อย่างไรก็ตาม “ผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมิน” เคยขาดหายไปจากไทยรัฐช่วงหนึ่ง คือ พฤษภาทมิฬ ปี 2535 ถึงขั้นที่เจ้าตัวคิดจะหยุดเขียนไปตลอดชีวิต
“ช่วงนั้นทหารปฏิวัติ ก็หยุดเขียน เพราะไม่รู้ทิศทางลมเป็นอย่างไร ตอนนั้นนึกว่าจะหยุดเลย ไม่นึกว่าจะเอากลับมาแล้ว ชิ้นสุดท้ายที่เขียนก็เขียนในลักษณะว่า ตอนนี้เกิดมีโรคห่าลงมาหมู่บ้าน เสียงหัวเราะสรวลเสเฮฮาที่เคยมีอยู่ก็เงียบหายไป หมู่บ้านทุ่งหมาเมินกลายเป็นทุ่งร้าง ผมก็ทิ้งปริศนาไว้อย่างนั้น แต่เมื่อทุกอย่างเริ่มสงบ ไม่มีการจับกุม พอเปิดหนังสือพิมพ์ผมก็เริ่มกลับมาเขียนใหม่ เพราะคนอ่านที่เป็นแฟนเรียกร้องอยากอ่านผู้ใหญ่มาต่อ ก็กลับมาเขียนผู้ใหญ่มาอีกครั้ง เรียกได้ว่าขาดช่วงไปแค่สัปดาห์เดียว”
ช่วงไหนเครียดสุด เขาตอบว่า มักอยู่ในช่วงปฏิวัติ เพราะปฏิวัติแต่ละครั้งเราไม่รู้ว่ารุนแรงแค่ไหน หลายครั้งเขาก็ไล่จับกุม ปิดหนังสือพิมพ์บ้าง พอปฏิวัติทีเราก็ต้องคอยสังเกตทิศทางลม และต้องเบรกตัวเองพักหนึ่งเพื่อดูว่าเขาเล่นงานแค่ไหน ถ้าเขาปล่อย เราก็เริ่มเขียนเหมือนเดิม
แล้วช่วงไหนเขียนการ์ตูนสบายที่สุด? “มันมีอยู่สองช่วง คือ ช่วง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ บรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกฯ เพราะมันจะมีเรื่องให้ล้อเลียนตลอด และประชาชนก็มีอารมณ์ร่วมด้วย เขียนอะไรไปก็ถูกอกถูกใจ ฉะนั้นในช่วง พล.อ.ชวลิต กับ บรรหาร ถึงขั้นที่เราเขียนล่วงหน้าทิ้งได้หลายชิ้นเลย ทำให้ผมได้เที่ยวต่างจังหวัด ไปต่างประเทศได้บ่อย เพราะสามารถเขียนทิ้งไว้หลายชิ้น โดยที่ว่าผลงานก็ออกมามีคุณภาพ เขียนไปแล้วคนก็ยังชอบอยู่ ทั้งที่เขียนล่วงหน้าหลายวัน
ความยากในการเขียนการ์ตูนแต่ละยุคแตกต่างกันหลายลักษณะ “ชัย ราชวัตร” สรุปให้ฟัง โดยยกตัวอย่างช่วง 3 อดีตนายกฯ “อานันท์ชวนทักษิณ” ว่า เขียนยากกันคนละแบบ
“ตอนนายกฯ อานันท์ มันยากตรงที่ว่า แกเป็นนายกฯ ในดวงใจ ซึ่งเราก็ชอบ เราศรัทธา อยากได้คนอย่างนี้มาเป็นนายกฯ และเราก็ไม่อยากโจมตี ก็เลยเขียนไม่ออก หรืออย่างคุณชวนเป็นนายกฯ เราก็เห็นว่าเป็นนายกฯ ที่เราอยากได้ เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ก็เลยเขียนไม่ออก เลยไม่มีมุขจะล้อ เพราะนักเขียนการ์ตูนถ้าจะให้เขียนให้สนุกก็คือ นักการเมืองขี้โกงในยุคคอร์รัปชั่น แต่พอไม่มีสิ่งเหล่านี้เราก็เขียนไม่ออก”
“แต่ยุคทักษิณนี่ มาเขียนยากอีกอย่าง ตรงที่ว่า ทั้งประชาชน ทั้งสื่อ ถูกแบ่งแยกเป็นสองขั้ว ไม่เหมือนยุคเผด็จการในอดีต ยุคถนอม ซึ่งประชาชนกับสื่อเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คือ ต่อต้านรัฐบาล เราเขียนอะไรไปคนอ่านก็ชอบ แต่ว่าพอยุคทักษิณเขียนไป คนจำนวนหนึ่งชอบ แต่อีกจำนวนหนึ่งเกลียด โกรธ แปลกมาก เพราะการทำงานหนังสือพิมพ์ เราก็ไม่อยากให้คนออกมาต่อต้านหนังสือพิมพ์ที่เราสังกัดอยู่ พอต่อต้านมากๆ นายทุน เจ้าของหนังสือพิมพ์ เขาก็ต้องคิดมาก เราก็ต้องพยายามเขียนอะไรให้มันเบาลง ไม่รุนแรง อย่างทุกวันนี้ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ คนจำนวนมากสนับสนุนอยู่ เขียนอะไรบางทีก็ต้องเบรกเหมือนกัน คือ เขียนได้แต่ไม่เต็มที่ ในวงการสื่อด้วยกันก็ไม่ได้สามัคคีเป็นทิศทางเดียวกัน มันก็เลยยาก”
‘สื่อต้องเป็นกลาง’ จริงหรือ
ปรัชญาการเขียนการ์ตูนล้อการเมืองในทัศนะของ “ชัย ราชวัตร” คือ ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับคนทุจริตโกงกิน ลิดรอนเสรีภาพสื่อ ไม่ว่านักการเมืองจะมาจากการเลือกตั้งคะแนนเสียงมหาศาลแค่ไหนก็ตาม ตรงนี้ไม่มีคำว่าต้องเป็นกลาง
“สิ่งที่อยากพูด คือ ผมมักถูกโจมตีว่าไม่เป็นกลาง ซึ่งผมเกลียดที่สุดคำนี้ เพราะผมไม่เห็นว่าหนังสือพิมพ์จะต้องเป็นกลาง หนังสือพิมพ์ คือ คนชี้นำประชาชน คอยบอกประชาชนว่า อะไรถูก อะไรดี อะไรชั่ว แล้วมันจะเป็นกลางได้


