สว่างสนุกสดใสในห้วงมืด Into Darkness

โดย...แหนงดู

เทรคกี้ หรือ เทรคเกอร์ (แฟนคลับของ Star Trek) ต่างปลาบปลื้มกับการกลับมาอีกครั้งของเรื่องโปรด ซึ่งเป็นเหมือนภาคต่อของหนัง Star Trek ที่ออกฉายเมื่อ 4 ปีก่อน ภาคแรกทำให้ความคลางแคลงใจเปลี่ยนเป็นความประทับใจ เพราะ เจ.เจ. อับรามส์ (ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์จากซีรีส์และหนังดังอย่าง Lost, Alias, Super 8, Mission : Impossible 3 ฯลฯ) ทำให้ Star Treck กับมามีชีวิตอีกครั้งอย่างน่าชม และ 4 ปีต่อมาก็ได้พบกับงานใหม่ล่าสุดในแฟรนไชส์ก็ตามออกมา นั่นก็คือ Into Darkness ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง

ครั้งนี้ยานเอนเตอร์ไพรส์จำเป็นต้องหันหัวกลับคืนสู่บ้านเกิด เมื่อโลกตกอยู่ในอันตราย จากเหตุการณ์นั้นทำให้กัปตันเคิร์กและลูกเรือออกเดินทางไกลอีกครั้งสู่ดินแดนมืดมน ระหว่างนั้นทุกคนต้องเข้าสู่สงคราม อันตราย ความขัดแย้งการแก้แค้น ความยุติธรรม ฯลฯ ต้องเผชิญกับศัตรูที่ยิ่งใหญ่และน่ากลัว แต่ที่น่ากลัวกว่าก็คือ มิตรที่ยังคงเป็นมิตรอยู่ไหม

ทีมนักแสดงใหม่เก่าแน่นขนัดจอใน Into Darkness ไม่ว่จะเป็น คริส ไพน์ (กรี๊ดดด...) ในบท กัปตันเจมส์ ที. เคิร์ก, แซกคารี ควินโต (ต้นเรือสป็อก), คาร์ล เออร์เบิน (ดร.เลียวนาร์ด “โบนส์” แม็คคอย), ไซมอน เพกก์ (หัวหน้าวิศวกร “สกอตตี้” สกอต), โซอี้ ซัลดานา (อูฮูร่า เจ้าหน้าที่สื่อสาร), จอห์น โช (ฮิคารุ ซูลู), แอนตัน เยลชิน (พาเวล เชคอฟ), บรูซ กรีนวูด (ผู้บัญชาการคริสโตเฟอร์ ไพค์) ฯลฯ และตัวร้ายของเรื่อง จอห์น แฮร์ริสัน หรือ ข่าน รับบทโดย เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ (กรี๊ดดด... อีกที)

ภาคนี้ คริส ไพน์ ยังคงเป็นกัปตันเคิร์กผู้หล่อเหลาเจ้าเสน่ห์ แต่ตัวร้ายอย่างข่าน ก็ได้ขโมยซีนกัปตันเคิร์กไปได้หลายตอน ขณะที่ตัวละครอย่างสป็อก ก็ทำให้คนดูหลงรัก ในเรื่องมีมุขตลกเข้ามาให้ขำเป็นระยะ โดยเฉพาะหมอโบนส์ ที่ตลกหน้าตายได้ตลอดๆ ระวัง ... เรื่องนี้มีซีนเศร้าๆ ที่อาจจะทำให้หลั่งน้ำตาผ่านแว่น 3D

ขณะที่ Star Trek ปี 2009 เต็มไปด้วยอารณ์ขัน ตัวละครที่มีเสน่ห์ ภาคนี้โดดเด่นที่จินตนาการสุดขั้ว อีกทั้งได้สัมผัสกับด้านอันลึกซึ้งละเอียดอ่อนของตัวละคร ซึ่งทำให้เห็นตัวละครที่เติบโตขึ้น โดยนักแสดงทำหน้าที่ได้อย่างดี เรื่องตื่นเต้น ภาพและเอฟเฟกต์สวยงามตื่นตา

เป็นมหากาพย์ที่น่าตื่นเต้น ชนิดที่ป๊อปคอร์นอาจจะหมดกระป๋องโดยไม่รู้ตัว เทียบกับภาคที่แล้ว เราว่า Star Trek Into Darkness สนุกกว่า คมกว่า และซึ้งกว่า เรื่องอาจเดาได้ หรือขัดใจกับตอนจบบ้าง แต่เป็นความบันเทิงครบด้าน เกินความคาดหวัง

ว่าจะไปดูอีกสักรอบ เพื่อเดินทางไปสู่ศตวรรษที่ 23 กับยานยูเอสเอส เอนเตอร์ไพรส์และลูกเรือ @

การพิสูจน์ตัวของกัปตัน

คริส ไพน์ กลับมารับบท กัปตันเจมส์ ที. เคิร์ก อีกครั้ง พร้อมวิตกกังวลและความคาดหวัง

“วันแรกในกองถ่ายเป็นเหมือนการเปิดเทอมวันแรกเลยครับ การได้เห็นทุกคนอีกครั้ง การรู้สึกตื่นเต้นเหลือเกินกับอนาคตข้างหน้า แต่ก็อยากจะทำงานที่ยอดเยี่ยมเพื่อพวกเขา แต่พอผมเริ่มจับจังหวะของตัวละครตัวนี้ได้อีกครั้ง ทุกอย่างก็เดินหน้าต่อจากภาคที่แล้ว”

ในเรื่องนี้ตำแหน่งของกัปตันเคิร์กกำลังถูกสั่นคลอน เขาต้องเผชิญหน้ากับความสูญเสีย ความเคลือบแคลง และคำถามสำคัญที่ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา สิ่งหนึ่งที่ คริส ไพน์ สนใจเป็นพิเศษใน Into Darkness คือ ความสัมพันธ์ระหว่างเคิร์กและสป็อก ขณะที่พวกเขารู้จักกันและกันดีขึ้น ยังต้องรับมือกับความแตกต่าง และความผูกพันที่ไม่อาจปฏิเสธ

“มันมีความรู้สึกที่ว่า ตัวละครทั้งคู่จะไม่เป็นเหมือนเดิมอีกต่อไปหากปราศจากกันและกัน และเรื่องราวนี้ก็ดูเหมือนจะบอกเล่าการเดินทางที่จำเป็นสำหรับเขาทั้งคู่ เคิร์กชอบท้าทายกฎระเบียบ แต่ในตอนเริ่มต้นเรื่อง กัปตันไพค์ก็สั่งให้เขานั่งลงแล้วบอกว่า ‘นายอาจเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ได้ แต่นายยังไม่ยิ่งใหญ่หรอกนะ’ ซึ่งกลายเป็นเหมือนรอยร้าวในเกราะกำบังของเขา เคิร์กมีเสน่ห์ดึงดูดใจ ไม่ยี่หระต่อสิ่งใดมาโดยตลอด แต่ระหว่างการปฏิบัติภารกิจนี้ เขาก็เต็มไปด้วยความเคลือบแคลงใจ ผมพบว่ามันเป็นเรื่องราวที่วิเศษสุดจริงๆ สำหรับตัวละครทั้งสอง คุณไม่สามารถหาคนสองคนที่มีดีเอ็นเอแตกต่างกันสุดขั้วแบบนี้ได้อีกแล้ว แต่พวกเขาก็พบความสัมพันธ์ฉันเพื่อนเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา”

Into Darkness จะนำกัปตันเจมส์ ที. เคิร์ก ไปเจอกับอารมณ์ที่มืดหม่น แต่ เจ.เจ. อับรามส์ สามารถรักษาสมดุลระหว่างความมืดมิด สีสัน และแสงสว่าง คริส ไพน์ เห็นว่า “เจ.เจ. รู้ซึ้งถึงพลังของความสนุก เขารู้ดีถึงพลังของการปล่อยให้ผู้ชมใส่ใจในตัวละครจริงๆ และไม่ว่าเหตุการณ์ที่เขากำลังถ่ายทำจะเหลือเชื่อและมหัศจรรย์แค่ไหน เขาก็รู้วิธีเชื่อมโยงผู้ชมเข้ากับเรื่องราว ในภาคนี้มีซีเควนซ์แอ็กชั่นที่เหลือเชื่อก็จริง แต่หัวใจของทั้งหมดนั้นคือศูนย์รวมประสบการณ์ของมนุษย์”