ช้างนะ...ไม่ใช่แพนด้า
“ช้าง ช้าง ช้าง ช้าง ช้าง น้องเคยเห็นช้างหรือเปล่า ช้างมันตัวโตไม่เบา จมูกยาวๆ เรียกว่างวง มีเขี้ยวใต้งวง เรียกว่างา มีหู มีตา หางยาว”...
ไร้ค่าไม่ต้องเรียลิตี้
“ช้าง ช้าง ช้าง ช้าง ช้าง น้องเคยเห็นช้างหรือเปล่า ช้างมันตัวโตไม่เบา จมูกยาวๆ เรียกว่างวง มีเขี้ยวใต้งวง เรียกว่างา มีหู มีตา หางยาว”...
เนื้อหาเรียบง่ายของเพลงที่แต่งโดยคุณหญิงชิ้น ศิลปบรรเลง ถูกร้องผ่านทำนองเพลงพม่าเขว เชื้อชวนให้เด็กไทยรุ่นแล้วรุ่นเล่า อยากทำความรู้จักเจ้าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
พี่เบิ้มแห่งผืนป่า อยู่คู่ประเทศไทยมาตั้งแต่อดีต พบได้จากบันทึกหลักฐานที่ปรากฏชัดว่า คนรุ่นบรรพบุรุษใช้ช้างในสารพัดภารกิจ ทั้งทำศึกสงคราม ชักลากไม้ เป็นพาหนะเดินทาง ฯลฯ งานหนักนานัปการที่บรรดาช้างเคยแบกรับเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ และไม่เป็นที่กังขาเมื่อถูกพบอีกว่า มันถูกนำรูปมาเป็นส่วนประกอบของธงชาติ บรรจุไว้ในสำนวนสุภาษิตอย่าง ขี่ช้างจับตั๊กแตน ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวมาปิด ฯลฯ ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของหน่วยงาน ซึ่งทั้งหมดล้วนแต่เป็นการเชิดชู ยกย่องให้ช้างเป็นสัตว์ที่ยิ่งใหญ่
กาลเวลาล่วงเลยมาถึงยุคที่เทคโนโลยีพัฒนามาถึงขีดสุด เข้าไปทำงานแทนทุกสิ่ง ป่าถูกปิดห้ามมีการตัดไม้ ช้างที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีตต้องตกงาน ถูกลดบทบาทลง เหลือเพียงทำหน้าที่มอบความบันเทิงให้ผู้คน มันถูกฝึกให้โชว์การแสดงจนสร้างชื่อเสียงไปทั่วโลก
นักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศ ทุกมุมโลก รู้ดีว่าหากมีโอกาสมาเที่ยวเมืองไทย แต่ยังไม่ได้เห็นหรือได้สัมผัสรสชาติอาหารไทย วัด รถตุ๊กตุ๊ก และช้างแล้ว ก็แทบจะกลับไปบอกใครไม่ได้เลยว่าเคยมาเที่ยวเมืองไทย
แต่จะมีสักกี่คนรู้ว่า สัตว์แสนรู้ตัวนี้กำลังถูกคุกคามจากรอบด้าน
ไม่ต่างจากการดูแลเอาใจใส่ช้างที่ถูกตั้งคำถามว่าสองมาตรฐาน ยิ่งเมื่อเทียบกับครอบครัวแพนด้าจากจีน “ช่วงช่วงหลินฮุ่ย” ที่จีนให้ยืมเป็นทูตสันถวไมตรีมาปักหลักที่สวนสัตว์เชียงใหม่เมื่อสิบปีก่อน จนให้กำเนิดทายาทหลินปิง เป็นที่โปรดปรานของชาวไทย และเมื่อหลินปิงกำหนดต้องถูกส่งตัวคืนจีนในเดือน พ.ค.นี้ หลังอายุได้ 4 ขวบ รัฐบาลไทยได้เจรจาต่อรองให้หลินปิงอยู่ต่อ โดยได้ข้อสรุปต้องยอมจ่ายเงิน 44 ล้านบาท เพื่อให้ครอบครัวแพนด้าอยู่ในเมืองไทยต่อ โดยหลังจากที่หลินปิงกลับไปหาคู่ที่ประเทศจีนแล้ว จะกลับมาอยู่ที่ไทยพร้อมคู่อีก 15 ปี ส่วนแพนด้าช่วงช่วง และหลินฮุ่ย จะอยู่ในไทยอีก 10 ปี
แพนด้า 3 ตัว 44 ล้านบาท ราคานี้เจียดให้ช้างไทยหน่อยได้ไหม จะได้ไม่ต้องเป็นช้างเร่ร่อนให้ดูอนาถา!!
วงจรคุกคามไล่ล่าทำสายพันธุ์เสื่อม
ดำรงค์ พิเดช อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ซึ่งเคยใกล้ชิดกับปัญหาช้างมาตลอดช่วงที่ดำรงตำแหน่ง ระบุว่า ปัญหาช้างมีหลายสิ่งที่เป็นปัญหาเรื้อรัง โดยเฉพาะจากธุรกิจค้าช้างที่เชื่อมโยงเป็นวงจร เริ่มจากเรื่องของช้างป่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นปีละ 10% เพราะมีการผสมพันธุ์ตลอดเวลาและจะเพิ่มจำนวนมากขึ้น ขณะที่ช้างบ้านหรือช้างเลี้ยงที่อนุญาตมีในครอบครองได้ หากมีตั๋วรูปพรรณช้างตาม พ.ร.บ.สัตว์พาหนะ พ.ศ. 2482 พบว่าเพิ่มจำนวนไม่เพียงพอ เพราะมักจะติดภารกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ต้องเร่ร่อนไปแสดงตามที่ต่างๆ ไม่มีกระทั่งช่วงเวลาให้ผสมพันธุ์ จำนวนช้างที่ป้อนสายพานนี้จึงเริ่มขาดแคลน แต่ความต้องการเพื่อธุรกิจนี้ รวมถึงการล่าอย่างผิดกฎหมายไม่ได้ลดลงตามไปด้วย วงจรการล่าช้างป่าจึงเริ่มขึ้น
“วงจรที่คุกคามช้างมีหลายเรื่อง คือ เรื่องถูกล่า ซึ่งมีสองส่วน คือ ช้างเพศผู้ที่ถูกล่าเพื่อเอางา กรณีนี้จะส่งผลให้แต่ละโขลงที่อยู่ในป่า เหลือพ่อพันธุ์ไม่กี่ตัว สุดท้ายก็อาจจะผสมพันธุ์กันเอง ทำให้สายพันธุ์แย่ลง และเรื่องของการล่าลูกช้างเพื่อนำมาสวมตั๋วรูปพรรณช้าง” ดำรง ระบุ
ข่าวการลักลอบฆ่าช้างป่าในหลายแห่ง โดยเฉพาะในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เป็นเรื่องสะเทือนใจ จนนำไปสู่การตรวจสอบธุรกิจปางช้างทั่วประเทศ แสดงให้เห็นปัญหาการลักลอบนำลูกช้างออกจากป่าเพื่อนำมาแสดงโชว์ให้กับนักท่องเที่ยว กำลังเป็นภัยคุกคามชีวิตช้างป่าอย่างหนัก
“ปัญหานี้อาจเบาบางลง หากเราแก้ปัญหาที่ต้นเหตุด้วยการปรับปรุงการออกตั๋วรูปพรรณช้างตาม พ.ร.บ.สัตว์พาหนะ พ.ศ. 2482 โดยต้องแก้ไขการขึ้นทะเบียนและตั๋วรูปพรรณช้างใหม่ จัดทำฐานข้อมูลช้างเลี้ยงที่มีอยู่ราวกว่า 2,000 เชือก โดยกรมอุทยานฯ เสนอให้มีการทำคู่มือประจำตัวช้างเลี้ยงเพิ่มเติม และให้ใส่ดีเอ็นเอของช้างลงไปในฐานข้อมูลด้วย ตั๋วช้างแบบเดิมเป็นเพียงกระดาษใบเดียว ไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน จนเป็นช่องทางในการสวมลูกช้างป่ามาเป็นช้างบ้านได้ง่าย ที่ผ่านมามีข้อเสนอให้ปรับแก้เรื่องนี้กันมาหลายปี แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก มาจนถึงปัจจุบัน” อดีตอธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวโดยระบุอีกว่า แผนหลายอย่างที่เคยดำเนินการไว้ยังเป็นสิ่งที่ช้างต้องรอต่อไป
กรมอุทยานฯ ยุคที่ดำรงค์เป็นอธิบดี เคยเสนอให้ปรับตั๋วช้างแบบใหม่ให้เป็นรูปเล่มแบบเดียวกับทะเบียนบ้าน มีรายละเอียด รูปถ่ายช้าง ด้านหน้า หลัง ด้านข้าง ตำหนิ ความยาวของงาอย่างละเอียด พ่อแม่ช้าง เจ้าของควาญช้าง เลขทะเบียนที่ชัดเจน มีรายละเอียดให้นำช้างมาขึ้นทะเบียนตั้งแต่แรกเกิดถึง 60 วัน และนำมาอัพเดตสถานะตอนอายุ 5 ปี 10 ปี 15 ปี 30 ปี และ 45 ปี จนกว่าจะสิ้นอายุขัย ถ้าช้างตายต้องแจ้งต่อนายทะเบียนภายใน 15 วัน โดยต้องตรวจสอบซากช้างและงาช้าง เพื่อออกหลักฐานกำกับงาช้างด้วย ไม่ใช่ออกตั๋วครั้งเดียวเช่นในอดีต
“เรื่องนี้ถูกดองไว้ทั้งที่รู้ดีว่าเป็นการแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นน้ำและปลายน้ำ หากยังไม่ทำ ปัญหาก็ยังมีอยู่ต่อไป อย่าลืมว่าช้างเราเริ่มดัง ในอนาคตอาจจะมีการซื้อขายอย่างผิดกฎหมายมากขึ้น เมื่อพรมแดนของเราเปิดทางให้ผ่านง่ายขึ้น หลังจากเข้าสู่ประชาคมอาเซียน” ดำรง กล่าว
ช้างเลี้ยงมากกว่าช้างป่า!
โซไรดา ซาลวาล เลขาธิการมูลนิธิเพื่อนช้าง เล่าว่า สถานการณ์ของกลุ่มช้างเลี้ยง ช้างในเมือง และช้างเร่ร่อนยังน่าเป็นห่วง เพราะแม้กรุงเทพมหานคร (กทม.) จะออกระเบียบห้ามช้างเข้ามาเดินเร่ร่อนตั้งแต่เดือน ก.ค. 2553 แต่จังหวัดอื่นๆ กลับยังไม่มีนโยบายในลักษณะนี้ ทำให้พบเห็นช้างเดินเร่ร่อนในเมืองใหญ่เสมอมา
จากข้อมูลของสถาบันวิจัยและบริการสุขภาพช้างแห่งชาติ พบว่าปัจจุบันมีช้างเลี้ยงรวมทั้งประเทศถึง 4,296 เชือก แบ่งเป็นภาคเหนือ 1,241 เชือก ภาคใต้ 1,067 เชือก ภาคอีสาน 1,411 เชือก ส่วนที่เหลือกระจายในภาคกลาง
“ที่น่าตกใจคือ 10 ปีที่ผ่านมา มีช้างเลี้ยงประมาณ 3,000 เชือก แต่ปัจจุบันเพิ่มขึ้นกว่า 1,000 เชือก ถามว่ามาจากไหน เพราะถ้าเป็นช้างเกิดใหม่ตัวเลขคงไม่เยอะขนาดนั้น อาจจะมีการลักลอบนำช้างออกจากป่าแล้วนำมาสวมทะเบียนช้างที่ตายแล้ว ซึ่งทางกรมอุทยานฯ ก็กำลังตรวจสอบอยู่” โซไรดา กล่าว
ที่น่าสังเกตอีกอย่างคือ จำนวนช้างเลี้ยงปัจจุบันมีมากกว่าช้างป่า ซึ่งมีอยู่ประมาณ 3,000 เชือกเสียอีก
“มันเป็นเรื่องน่าแปลก ประเทศอื่นเขามีช้างป่ามากกว่าช้างเลี้ยง แต่บ้านเรากลับตรงข้ามกัน ถามว่าจะแก้อย่างไร มันเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องใส่ใจให้มากกว่านี้ ต้องยกเป็นวาระแห่งชาติ ยุติขบวนการค้าช้างเถื่อน และทำโครงการให้ช้างอยู่ในถิ่นเกิด” โซไรดา กล่าว
เลขาธิการมูลนิธิเพื่อนช้าง ยังเปรียบเทียบให้เห็นง่ายๆ อย่างกรณีแพนด้า รัฐบาลจีนให้ความสำคัญและดูแลสัตว์ของชาติตัวเองอย่างดี เมื่อยืมครบกำหนดเวลาก็ต้องส่งกลับ ใส่ใจความเป็นอยู่ในต่างประเทศ ดูแล้วน่าภูมิใจแทนแพนด้าที่รัฐบาลให้ความสำคัญ ขณะที่ช้างไทยกลับถูกปล่อยให้เดินเร่ร่อน หรือถ้าถูกส่งไปต่างประเทศก็ไม่ได้ติดตามความเป็นอยู่ ส่งไปแล้วจะได้กลับเมื่อไรก็ไม่รู้ แม้แต่ตัวเลขช้างที่ถูกส่งไปต่างประเทศมีเท่าไรก็ไม่เปิดเผย
“มันเป็นสิ่งที่อยู่ผิดที่ผิดทางหมด แพนด้าเอามาอยู่ในไทยก็ต้องทำห้องแอร์ ส่วนช้างถ้าถูกส่งไปอยู่เมืองหนาวก็ต้องอยู่ในห้องที่มีฮีตเตอร์ ถามว่ามันใช่เรื่องไหม ช้างควรอยู่ในที่ที่เค้าเกิด ถ้าใครอยากดูช้างก็ต้องเดินทางมาดูในไทย แบบนี้น่าจะดีกว่า” โซไรดา กล่าว
รายได้แพนด้าช่วยอุ้มช้างไทย
ธนภัทร พงษ์ภมร ผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่ ยืนยันว่าไม่มีความเหลื่อมล้ำระหว่างหมีแพนด้าและช้างในสวนสัตว์แน่นอน เนื่องจากต้องใช้มาตรฐานเดียวกันในการดูแล ทั้งส่วนจัดแสดง และสัตวแพทย์ประจำส่วนจัดแสดง ขณะเดียวกันที่ จ.สุรินทร์ องค์การสวนสัตว์ก็มีศูนย์คชอาณาจักร องค์การสวนสัตว์ ในพระบรมราชูปถัมถ์ไว้ดูแลช้างอย่างครบวงจร จึงไม่ต้องกังวลว่าช้างจะไม่ได้รับการดูแลอย่างดี
ทั้งนี้ การจ่ายเงินให้ประเทศจีนเพื่อดูแลหมีแพนด้าในประเทศนั้น ถือเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก เพราะแพนด้ายังมีสถานะเป็นทูตวัฒนธรรมของประเทศจีน ที่ให้สวนสัตว์ทั่วโลกดูแลอีกด้วย แต่ยืนยันว่าเงินที่จ่ายให้คุ้มค่า เพราะมูลค่าที่คืนกลับมา มีทั้งคุณค่าทางใจสำหรับผู้ที่เดินทางมาชม และมูลค่าที่สวนสัตว์สามารถนำไปต่อยอดพัฒนาเพื่อดูแลสัตว์อื่นๆ ได้ต่อไป ขณะเดียวกันมูลค่าทางเศรษฐกิจยังทำให้ธุรกิจใน จ.เชียงใหม่ เติบโตขึ้น ตั้งแต่ร้านค้ารอบสวนสัตว์ รถสี่ล้อแดง ภาคธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม สายการบิน ฯลฯ
“รายได้ที่ได้จากแพนด้า สุดท้ายเราก็นำมาเฉลี่ยเพื่อดูแลสัตว์อื่นๆ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีโครงการช่วยช้างและสัตว์หายากให้มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ส่วนในอนาคตกระแสแพนด้าอาจตกหรือไม่ยังไม่มีใครรู้ แต่เราจะพยายามดูแลให้ดีที่สุด และหาจุดขายอื่นมาทดแทนเรื่อยๆ” ผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่ กล่าว


