posttoday

ย่านเก่าที่ภูเก็ต

19 พฤษภาคม 2556

ไม่ได้ไปบ่อยๆ แต่พอมีโอกาสไปย่ำ “จ.ภูเก็ต” ก็มักมีเรื่องประทับใจ จนต้องนำมาบอกต่อ

โดย...โจ เกียรติอาจิณ / ภาพ จำลอง บุญสอง


ไม่ได้ไปบ่อยๆ แต่พอมีโอกาสไปย่ำ “จ.ภูเก็ต” ก็มักมีเรื่องประทับใจ จนต้องนำมาบอกต่อ

หลายคนคงรู้จัก หลายคนคงเคยสัมผัส “ย่านเก่า” ทว่า ย่านเก่าที่ภูเก็ต ไปแล้วก็ยังอยากไปซ้ำ ไม่มีเบื่อ ไม่มีหน่าย เพราะที่นี่มีเสน่ห์ให้ค้นหาตลอดเวลา

ลมหายใจของย่านเก่า สะท้อนความเป็นภูเก็ตได้อย่างชัดแจ้ง งดงามและคลาสสิก ยิ่งเมื่อมองแบบพินิจพิเคราะห์ ก็ยิ่งรู้ว่าที่นี่มีเรื่องราวน่าสนใจซุกซ่อนอยู่มากมาย

การเข้าถึงความเป็นย่านเก่าของภูเก็ตให้ลึกถึงแก่น ก็ต้องใช้วิธีเดินลัดเลาะสำรวจด้วยสายตาตัวเอง อย่าได้แค่ยืนมองอยู่ห่างๆ เข้าไปหา เข้าไปชิดใกล้ แล้วจะพบว่าย่านเก่านี้ยังมีชีวิต

ตึกชิโนโปรตุกีส โดดเด่นเป็นที่เชิดหน้าชูตา ไปภูเก็ตทุกคราต้องหาเวลาไปชมให้ได้นะจ๊ะ อย่าพลาดเด็ดขาดเชียว เพราะนี่คือเสน่ห์ร้ายของภูเก็ต อันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ถือเป็นงานสถาปัตยกรรมเก่าแก่ ควรค่าน่ามองมากๆ มีความหมายต่อคนจีนที่โล้สำเภาเข้ามาตั้งรกรากบนเกาะภูเก็ต ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ว่ากันว่ามาจากการผสม 2 คำ “ไชนีส” กับ “โปรตุเกส” รวมกันจนกลายเป็น “ชิโนโปรตุกีส” ซึ่งก็หมายถึงคนจีนกับคนโปรตุเกส ที่หลอมวัฒนธรรมต่างขั้วเข้าด้วยกันนั่นเอง

ที่ภูเก็ตหาชมตึกชิโนโปรตุกีสได้ไม่ยาก เค้าโครงตึกลูกผสมระหว่างจีนและยุโรป ก่ออิฐถือปูน มีผนังหนา เสาขนาดใหญ่ ด้านหน้าตกแต่งเป็นรูปปูนปั้น แกะลวดลายตามฉบับศิลปะนีโอคลาสสิกและศิลปะอาร์ตเดโคยังปรากฏในหลายแห่ง ถึงอย่างนั้น ปัจจุบันก็เริ่มมีเจ้าของตึกบางรายหลงลืมรากเหง้าของตัวเอง โดยทาสีทับ หรือเปลี่ยนรูปลักษณ์อาคารเสียใหม่ เห็นแล้วก็น่าใจหายไม่น้อย

แต่ด้วยความพยายามที่จะฟื้นฟูและอนุรักษ์สถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีสเอาไว้ คนภูเก็ตรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่จึงหันหน้ามาประสานพลังใจริเริ่มโครงการปรับภูมิทัศน์เมืองภูเก็ตให้คงอยู่สืบไป อันนี้น่ายกย่องจริงๆ

ถ้าสังเกตให้ดี บ้านเรือนและร้านค้าที่ตั้งเรียงรายกัน สิ่งหนึ่งที่เด้งกระแทกตา ก็เห็นจะไม่พ้น “หง่อคาขี่” หรือช่องทางเดินซึ่งเป็นซุ้มประตูโค้ง เกือบจะทุกที่ล้วนมีหง่อคาขี่

สำหรับคนจีน หง่อคาขี่ คือหน่วยวัด อันหมายถึง ทางเดินกว้าง 5 ฟุต และมากกว่านั้นหง่อคาขี่ยังเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงความโอบอ้อมอารีของคนสมัยก่อนด้วย สร้างซุ้มประตูโค้งเป็นช่องทางเดินเพื่อให้ผู้คนสัญจรผ่านไปมาหาสู่กันระหว่างบ้านแต่ละหลังได้สะดวกสบาย

น่าเสียดาย บางบ้านปิดตายหง่อคาขี่ จนไม่สามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ ทำให้ภาพความเอื้ออารีเหือดหายไป ตามยุคสมัย หง่อคาขี่กลายร่างเป็นกำแพงหนาด้วยปูนโบก

บนถนนถลาง เดินได้ไม่รู้เบื่อ อากาศกลางวันอาจจะร้อนไปหน่อย แต่ก็ไม่ลดทอนความน่าสนใจของย่านเก่าลงได้ ที่นี่ยังมีอะไรให้ชมอีกเยอะแยะ ที่สำคัญ ทุกที่มีสตอรี่ ขอเพียงขยันออกแรงเดินจะพบสตอรี่ที่คุณไม่เคยรู้ เช่น ซอยเล็กๆ ชื่อ “รมณีย์” ที่ว่ากันว่าสมัยก่อนคือซอยฮิตของเหล่าหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่ชอบมาหาความสำราญจากคุณโส (เภณี) จนเลื่องลือไปทั่วภูเก็ต

ถ้าเดินวกเข้าถนนเยาวราช ก็จะเจอผับบาร์กินดื่มละลานตา ยิ่งมาตอนค่ำ ราตรีแห่งความหรรษาก็ช่างยั่วยวนให้อยากมาเยือน เป็นภาพคู่ขนานระหว่างโลกแสงสีกับโลกเก่า ขัดแย้งแต่งดงาม

พูดถึงงานสถาปัตยกรรม ที่ภูเก็ตไม่ได้มีแต่ตึกชิโนโปรตุกีส ตึกหลังใหญ่ที่เรียกว่า “อังหมอเหลา” ก็น่าสนใจไม่เบา เรื่องราวอังหมอเหลานั้นเป็นตึกสองชั้นขนาดใหญ่ เสมือนคฤหาสน์หลังโตของผู้มีอันจะกินสมัยก่อน ซึ่งมีหลายแห่งที่ภูเก็ต แต่เจ้าบ้านไม่ค่อยเปิดให้เข้าชมกัน ที่เปิดกันเป็นล่ำเป็นสันให้ท่องเที่ยวเข้าชมได้ คือบ้านชินประชา ของ “ลุงประชา ตัณฑวนิช” ตั้งอยู่บนถนนกระบี่

ภายในบ้านชินประชา มีลักษณะเป็นคฤหาสน์ 2 หลัง มีข้าวของเครื่องใช้ให้ชมและถ่ายรูปได้ บางชิ้นประเมินค่าไม่ได้ ฉะนั้น ผู้ที่เข้าไปชมควรระมัดระวัง บางชิ้นแม้จะเก่า แต่เจ้าของบ้านยังเก็บรักษาไว้อย่างดี ชิ้นสะดุดตา ก็ได้แก่ เตียงไม้หลังเก่า สลักลวดลายวิจิตรบรรจงตามศิลปะจีน เป็นเตียงของสาวโสด สังเกตง่ายๆ เหนือหัวนอนจะเป็นตู้เล็กๆ เอาไว้เก็บข้าวของกระจุกกระจิกและเครื่องประดับ

อีกแห่งที่เป็นอังหมอเหลาหลังโตอยู่คู่ภูเก็ตมายาวนาน ก็คือตึกเก่าโรงเรียนภูเก็ตไทยหัว ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนภาษาจีนแห่งแรกของภูเก็ตและของประเทศไทย ปัจจุบันดำรงไว้ในฐานะสมาคมศิษย์เก่า และเป็นพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมคนจีนในภูเก็ตให้คนรุ่นหลังได้มาศึกษาค้นหารากเหง้าดั้งเดิม

มีโอกาสไปเยือนภูเก็ต ก็อย่าลืมไปย่ำย่านเก่า เรื่องราวเรื่องเล่าของภูเก็ตถูกบรรจุไว้ที่นี่แหละ

ถอดรหัส ‘ชิโนโปรตุกีส’

เราๆ ท่านๆ คงยากที่จะแยกแยะว่า อะไรคือความเป็นชิโนโปรตุกีส แล้วตึกไหนคือตึกชิโนโปรตุกีส เพื่อให้ทุกข้อสงสัยคลี่คลาย เราจึงถามไถ่คนท้องถิ่น ก็ได้ความว่า ชิโนโปรตุกีส มีถึง 3 รูปแบบด้วยกัน

1.รูปแบบจีน เป็นรูปแบบดั้งเดิม มีความโดดเด่นตรงบานประตูหน้าต่างไม้ชั้นล่างมีลวดลายดอกไม้ อาจตกแต่งลวดลายแบบจีนเป็นกระเบื้องเคลือบ ชั้นบนหน้าต่างเป็นบานเกล็ดผสมบานกระทุ้ง ขณะเดียวกัน ผนังด้านหน้าก็จะมีขนาดยาวถึงพื้น

2.รูปแบบนีโอคลาสสิก รวมไว้ซึ่งรูปแบบอาคารในยุโรปยุคคลาสสิกกับบาโรก เสาชั้นล่างจะมีลวดบัวและย่อมุม ชั้นบนเป็นหน้าต่างฝรั่งเศสบานยาวถึงพื้นและบานเกล็ดไม้ บนและล่างเป็นลูกไม้ฟัก ซึ่งเป็นบานกระทุ้งให้ลมผ่านได้ กรอบหน้าต่างคล้ายเสาอิง ช่องแสงส่วนใหญ่เป็นรูปโค้งครึ่งวงกลม เป็นปูนปั้นและมีหินหลักยอดโค้ง

3.รูปแบบอาร์ตเดโค ผสมผสานระหว่างศิลปะตะวันออกไกล กรีกโรมัน หรืออียิปต์ กับองค์ประกอบสมัยใหม่ หน้าต่างชั้นบน เหล็กดัด ช่องแสง ช่องหน้าต่าง และกระจกกรุสีลวดลายแบบเรขาคณิตหรือลายดอกไม้

ข่าวล่าสุด

ป.ป.ส. ผนึก DEA สหรัฐฯ เตรียมจัดประชุม Regional IDEC 2026 ที่เชียงราย