ธรรมบรรยายจากมุมไบ มงคลสูตร...สู่การเจริญวิปัสสนา (ตอน ๑๓)
นิพพิทาเป็นประตูสำคัญที่จะส่งต่อให้เกิดการวางคลายจากความกำหนัดยินดี การวางคลายจากความกำหนัดยินดีได้
โดย...พระอาจารย์อารยะวังโส&<2288;
นิพพิทาเป็นประตูสำคัญที่จะส่งต่อให้เกิดการวางคลายจากความกำหนัดยินดี การวางคลายจากความกำหนัดยินดีได้ ก็เป็นการขุดถอนรากของสมุทัยของความทุกข์ จึงเข้าไปสู่ความดับ ดับสิ้นความราคะ คือการดับตัณหาทั้งปวง เมื่อตัณหาดับ อุปาทานก็ขาดสะบั้น การยึดถือในโลกนี้ก็สิ้นไป เมื่อตัณหาสิ้นไป อุปาทานก็ขาดสะบั้น ไม่ส่งต่อให้เกิดการยึดถืออุปาทาน อุปาทานก็จะขาดสิ้นในโลก การยึดถือในโลกก็สิ้นไป โลกก็คือรูปนามขันธ์ ๕ ก็คือ ตัวเรา การขาดสิ้นซึ่งการยึดถือยึดมั่นในรูปนามขันธ์ ๕ หรือโลก นี่จึงคือการดับตัวทุกข์ที่แท้จริง
ตรงนี้จึงจะเข้าถึงคำว่า “เอกจิต ๔” เป็นเอกจิตของผู้ที่ รู้ตื่น เบิกบาน คือเป็นพุทธภาวะแล้ว บริสุทธิ์แล้ว พ้นจากโลกแล้ว และเหนือความทุกข์แล้ว
ที่กล่าวมานี้เป็นการอธิบายขั้นสูงสุดของมงคล คือ ขั้นที่ ๓๘ แล้วว่าเกิดได้อย่างไร ที่นี้เรากลับมาที่ขั้นที่ ๑ และจะลำดับในแต่ละขั้น ทุกคนสามารถวัดผลตัวเองได้
ขั้นที่ ๑ นี้สำคัญที่สุด เพราะไม่มีขั้นที่ ๑ ก็ไม่มีขั้นที่ ๓๘ ฉะนั้น ขั้นที่ ๑ นี้ เป็นขั้นสำคัญของการพัฒนาหรือเป็นการสร้างชีวิตให้มีคุณประโยชน์ ให้สมฐานะความเป็นสัตว์ที่ประเสริฐ และเราจึงเห็นว่าพระพุทธศาสนาไม่ได้เน้นเรื่องของพระนิพพาน คือ ออกจากโลกอย่างเดียว แต่เบื้องต้นได้สอนให้อยู่ในโลกได้อย่างมีความสุข มีประโยชน์ มีสันติ มีความสงบ พระพุทธศาสนาสอนให้ทุกคนอยู่ในโลกได้อย่างมีความเกื้อกูลต่อกัน มีประโยชน์ทั้งต่อเราและเขา และทำให้สังคมมีความสันติ มีความสุข นี่คือเบื้องต้นของคำสั่งสอน
หลังจากนั้นเมื่อรู้จักการทำประโยชน์ตามฐานะและสถานภาพได้แล้ว จึงมุ่งเน้นให้รู้จักการยกระดับจิตให้สูงขึ้น
สุดท้าย หลังจากยกระดับจิตให้สูงขึ้น ให้ถึงพร้อมด้วยอำนาจของคุณธรรมแล้ว จึงพัฒนาจิตไปสู่ความบริสุทธิ์โดยการให้เห็นแจ้งในอริยสัจ การพัฒนานี้ คือ ทำให้เกิดปัญญา เห็นชอบในอริยสัจ (และถึงพระนิพพาน) และสิ้นทุกข์ด้วยปัญญา
ข้อที่ ๑ “อะเสวะนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัง จะ เสวะนา” มีความหมายก็คือ การเข้าหาผู้รู้ บัณฑิต การคบหาผู้รู้ บัณฑิต ก็หมายถึง การเริ่มต้นการศึกษาเพื่อชีวิต การหาผู้รู้ ก็คือเข้าสู่การเรียนรู้ที่ถูกต้องตามธรรมะ มีศีล มีธรรม เป็นเบื้องต้น การเข้าหาผู้รู้โดยการเข้าสู่การศึกษาที่ถูกต้องตามหลักศีลธรรมนี้ทำให้เรารู้ว่าควรประพฤติตนอย่างไรให้เกิดประโยชน์และไม่เป็นโทษ ดังนั้น ความหมายก็คือ ต้องพัฒนาการให้มีความรู้และควบคู่กับคุณธรรมและบุคคลใด คณะใดที่ให้การเรียนรู้กับคุณธรรมควบคู่กัน นั่นแหละคือบัณฑิตในทัศนะยุคปัจจุบัน
ซึ่งแตกต่างกับคำว่า “คนพาล” คำว่า พาล พาละ พาโล แปลว่า อ่อนแอ เราได้เห็นคนในสังคมจำนวนมากที่เรียนรู้และเป็นบัณฑิตทางโลก แต่อ่อนแอ มีจิตที่อ่อนไหว มีพฤติจิตที่อ่อนแอ และที่สุด เสื่อมคุณธรรม ไร้จริยธรรม ไม่ประพฤติปฏิบัติตามศีลธรรม เพราะฉะนั้น กระบวนการนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นการศึกษาที่บุคคลต้องมีการวางแผนชีวิต มีจุดประสงค์ของชีวิตที่ถูกต้อง เมื่อได้รับการเรียนรู้ที่ถูกต้อง ก็ย่อมทำสิ่งที่ถูก ปฏิบัติในสิ่งที่ถูก สิ่งหนึ่งที่ต้องเน้นจึงเป็นการปฏิบัติในสิ่งที่ถูก
จากข้อความที่ว่า “อะเสวะนา จะ พาลานัง ปัญฑิตานัญจะ เสวะนา” แล้วนำไปสู่ “ปูชา จะ” คือ สู่การบูชาและความเคารพซึ่งเป็นมงคลข้อที่ ๓ ให้สังเกตว่า นี่คือ “รู้จักการบูชา” คือ เลือกคนที่จะเคารพ เป็นคนดีมีคุณธรรม มีศีลธรรม คุณอาจจะเป็นดอกเตอร์ เป็นนักวิชาการ เป็นอะไรมากมาย แต่หากคุณไม่รู้จักการบูชาและเลือกเคารพในสิ่งที่ควร ก็แสดงว่าคุณไม่คบบัณฑิต และคุณจะไม่มีความรู้เกิดขึ้นเลย ฉะนั้น คุณจึงตรวจสอบได้เลยว่า สิ่งที่คุณกำลังดำเนินอยู่นี้ คุณเป็นบัณฑิตจริงหรือไม่ คุณได้คบบัณฑิตจริงหรือไม่ คุณมีความรู้จริงหรือไม่
อ่านต่อฉบับหน้า


