posttoday

ว่าด้วยปรัชญาของชีวิต...ที่ไร้ซึ่งเกราะป้องกันภัย

09 พฤษภาคม 2556

คนเราจะอยู่ในเกราะป้องกันภัยได้นานแค่ไหนกันเชียว!

โดย...ตุลย์ จตุรภัทร

คนเราจะอยู่ในเกราะป้องกันภัยได้นานแค่ไหนกันเชียว!

จู่ๆ ผมก็นึกถึงประโยคนี้ขึ้นมา หลังจากชมภาพยนตร์ “ไอรอน แมน 3” จบลง ผมรู้สึกว่า นอกจากความตั้งใจของผู้สร้าง ที่อยากเห็น โทนี สตาร์ค (ไอรอน แมน) ทำอะไรได้บ้าง หากสิ่งอันเป็นที่รักที่สุดของเขาถูกทำลายลงอย่างน่าเจ็บใจ และเขาจะผ่านพ้นอุปสรรคมากมายอันเกินกำลังที่เขาจะจัดการได้อย่างไร ผู้สร้างคงอยากทำให้เราเห็นปรัชญาข้อหนึ่งที่ทำให้เราตระหนักถึงการดำรงอยู่อย่างคนที่เข้มแข็งทั้งภายนอกและภายในใจ

“เราสร้างเกราะป้องกันภัยจากโลกภายนอกได้

แต่เราอยู่ในนั้นอย่างคนอ่อนแอไม่ได้

ถึงอยู่ได้...แต่เราก็อยู่ได้ไม่นานหรอก

เราต้องออกมาเผชิญโลกอย่างคนที่รู้เท่าทัน”

ด้วยปรัชญาข้อนี้ ทำให้ผมตระหนักว่า ไม่ว่าจะเป็นเกราะป้องกันภัยที่อาจตีความได้ว่า เป็นบ้านของเรา ครอบครัวของเรา เพื่อนของเรา ที่ทำงานของเรา ลูกของเรา หรือคนรักของเรา ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้แน่นอน ทุกอย่างผกผันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เราต้องไม่ยึดติดเกราะป้องกันภัยนั้น เราต้องอยู่ให้ได้ด้วยตัวของตัวเอง!

สำหรับคนที่ไม่เคยดู ไอรอน แมน ภาค 1, 2 และ “ดิ เอเวนเจอร์ส” ผมเชื่อแน่ว่าคุณสามารถดูได้อย่างต่อแล้วติด เพราะหนังเรื่องนี้ได้เล่าย้อนให้เราเข้าใจถึงที่มาที่ไปได้อย่างไม่อึดอัดและยืดยาวมากนัก หลังจากเล่าย้อนได้จนสามารถเดินเรื่องได้ต่อ หนังเรื่องนี้ก็ทำหน้าที่ของมัน ด้วยการทำให้เห็นว่า ทำไม โทนี สตาร์ค (ไอรอน แมน) ต้องถูกทำลายฐานที่ตั้ง และทำไมเขาต้องพบเจออุปสรรคอันเกินกำลังที่เขาจะจัดการได้

ชีวิตมนุษย์ (ไม่ว่าจะยากดี มี หรือจน) เมื่อไร้ซึ่งเกราะป้องกันภัย เพราะเกราะป้องกันภัยนั้นได้ถูกทำลายลง หรือทำให้เกิดความอ่อนแอ ในฐานะคนตัวเปล่าเล่าเปลือย สิ่งที่เราใช้ต่อกรกับตัวร้ายได้ หาใช่อาวุธไม่ แต่มันคือ “สมอง” และ “หัวใจ” ที่ต้องทำงานควบคู่กันไปเพื่อความอยู่รอด ซึ่งมหาเศรษฐีอัจฉริยะอย่าง โทนี สตาร์ค นี่แหละ ที่ทำให้เราได้เห็นถึงสัจธรรมความจริงในข้อนี้ เมื่อเขาไม่มีเกราะป้องกันภัย เขายังมีสมองที่สามารถแก้ไขปัญหาอันหนักหน่วงได้ อีกทั้งเขายังมีหัวใจอันยิ่งใหญ่ที่พร้อมจะลุกขึ้นสู้ได้เสมอ

นอกจากนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังทำให้เราในฐานะคนดู ได้มองเห็นถึงคนที่เกิดมาด้วยความไม่สมบูรณ์แบบ แต่ดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อให้มาซึ่งความสมบูรณ์แบบอย่าง “อัลดริช คิลเลียน” เขาเกิดมาพร้อมกับข้อจำกัดทางร่างกายบางอย่าง แต่เขาไม่สามารถยอมรับข้อจำกัดพวกนั้นได้ และใช้เวลาแทบทั้งชีวิตในการเอาชนะข้อจำกัดเหล่านั้นทุกรูปแบบเท่าที่ทำได้ ความดื้อรั้นและความมุ่งมั่นอย่างไม่ลืมหูลืมตาในการดิ้นรนเพื่อชีวิตที่ดีกว่าของเขา ถูกหลายคนมองว่าน่ารำคาญ เพราะเขามักทำตัวน่ารังเกียจเสมอ เขาไม่ยอมรับสิ่งที่ถูกหยิบยื่นมาให้เขา และด้วยความที่เขาเป็นคนฉลาด เขาก็เลยมีแรงขับอย่างรุนแรงที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปเป็นคนใหม่

“กาย เพียร์ซ” นักแสดงชาวออสเตรเลีย ผู้รับบทนี้ กล่าวถึงบทบาทของตัวละครที่เขาแสดงว่า ตัวละครตัวนี้เป็นตัวละครที่อันตราย เขาอยากจะเป็นผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ซึ่งเป็นแรงขับภายในตัวเขา ทำให้เขาทะเยอทะยานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อที่จะได้มาซึ่งความสมบูรณ์แบบ แต่สุดท้ายความทะเยอทะยานอันไม่มีที่สิ้นสุดนี้ ก็ได้ทำลายชีวิตเขาเอง

หากนี่คือความย้อนแย้งของคนสองคน นั่นคือ คนหนึ่งมีในสิ่งที่อีกคนไม่มี และก็พยายามทำลายการมีของอีกคน ส่วนอีกคนก็มี แต่ท้ายที่สุด เมื่อเขาได้ถูกทำลายสิ่งที่เขามี เขาก็ได้เรียนรู้ว่า “ไม่มีในสิ่งที่เคยมี แต่ก็มีชีวิตอยู่รอดได้อย่างมีความสุข”

หากเราต้องตั้งคำถามกับตัวเราเอง ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องมีชีวิตอยู่รอดให้ได้ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ เราคงต้องตั้งคำถามกับตัวเองไว้อยู่เสมอว่า “เราควรจะเลือกมีชีวิตอยู่ด้วยรูปแบบไหน 1.รูปแบบของคนที่สมบูรณ์แบบ กับ 2.รูปแบบของคนที่ไม่สมบูรณ์แบบ แต่มีความเป็นมนุษย์?”

Iron Man 3 (ไอรอน แมน 3)

ปี 2013

ประเทศ สหรัฐอเมริกา

ประเภท ต่อสู้/ผจญภัย

กำกับ เชน แบล็ค

แสดงนำ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์/กวินเนธ พัลโทรว์/กาย เพียร์ซ/เบน คิงส์ลีย์

 

ข่าวล่าสุด

อีลอน มัสก์ สร้างสถิติเป็นคนแรกของโลกที่รวยเกิน 700,000 ล้านดอลลาร์