สริศ พัฒนะเมลือง นักบริหารหนุ่มผู้มีวิสัยทัศน์
สริศ พัฒนะเมลือง เป็นนักบริหารหนุ่มที่มีวิสัยทัศน์และชั้นเชิงในการบริหารที่น่าสนใจ ทั้งที่อายุอยู่แค่เลข 3 เท่านั้น
โดย...วรธาร ทัดแก้ว / ภาพ วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี&<2288;
สริศ พัฒนะเมลือง เป็นนักบริหารหนุ่มที่มีวิสัยทัศน์และชั้นเชิงในการบริหารที่น่าสนใจ ทั้งที่อายุอยู่แค่เลข 3 เท่านั้น ปัจจุบันนั่งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยสตีลเคเบิล ผู้ผลิตสายควบคุมรถยนต์และจักรยานยนต์ ตลอดจนชุดควบคุมรางกระจกหน้าต่างรถยนต์ให้กับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ชั้นนำ รวมถึงบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ด้วย
ไทยสตีลเคเบิลเป็นบริษัทแรกและบริษัทเดียวในชีวิตการทำงานของเขา โดยเริ่มต้นไต่เต้าเบาะๆ จากการเป็นผู้จัดการธรรมดาคนหนึ่งที่ได้รับมอบหมายให้ดูงานธุรการและงานบุคคล (HR) ซึ่งเขาถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการเป็นนักบริหารของเขาในเวลาต่อมา
“หลังจบโทจากสหรัฐ ก็มาเริ่มงานที่ไทยสตีลเคเบิลตำแหน่งผู้จัดการเลย ตอนนั้นผู้ใหญ่ให้ดูธุรการงานเอกสารกับเอชอาร์ เพราะตอนนั้น (ปี ค.ศ. 2001) บริษัทยังเล็กๆ พนักงาน 200-300 คน อยู่ตรงนี้ทำทุกอย่าง ซัพพอร์ตหมด งานเอกสาร ทะเบียนพนักงานทำเอง จนรู้จักพนักงานทั้งหมด ใครทำอะไร อยู่แผนกไหน ชื่ออะไร บางคนจำชื่อจริงไม่ได้ก็จำชื่อเล่นได้ ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้เป็นเรื่องดีสำหรับผมในเวลาต่อมาเลยนะ จากนั้นต่อมาก็ดูการตลาดพ่วงเข้ามาด้วย”
ในเรื่องของงานด้านการตลาดเขาบอกว่ายังอยู่ในตำแหน่งเดิม เพียงแต่ทางผู้บริหารให้เข้ามาดูด้วย เหมือนต้องการให้ศึกษาเรียนรู้งานไปในตัว วิธีการคือออกไปกับผู้จัดการฝ่ายตลาดทั้งที่เป็นคนญี่ปุ่นและผู้จัดการคนไทยเวลาไปพบปะกับลูกค้า
“ทำธุรการและงานบุคคลไปสักพักใหญ่ๆ ผู้ใหญ่ก็ให้ไปช่วยการตลาดเพิ่ม โดยให้ผมออกไปกับผู้จัดการฝ่ายการตลาดทั้งชาวญี่ปุ่นและคนไทยเวลาไปหาหรือพบลูกค้า และการช่วยของผม คือ พอไปได้ยินเสียงสะท้อนจากลูกค้า เช่น คำตำหนิบริษัทหรืออะไรก็ตาม ก็จะมาช่วยเหลือแก้ไขในส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพราะผมถือว่าบริษัทถูกตำหนิเราก็ถูกตำหนิด้วยก็ช่วยทำ พอทำไปทำมาผู้ใหญ่ก็ให้ขึ้นมาเป็นจีเอ็มดูในส่วนของสำนักงานทั้งหมดที่ไม่ใช่วิศวกรรม ต่อมาก็ขึ้นเป็นรองเอ็มดีและเอ็มดีในที่สุด”
แนวทางการบริหารเขามีมุมมองน่าสนใจ ก็คือให้ความสำคัญกับทุกส่วน รวมถึงบุคลากรในองค์กรทุกแผนก ทุกส่วนต้องเป็นที่หนึ่ง ไม่เฉพาะการตลาด วิศวกรรม การผลิตต้องเป็นเลิศเท่านั้น
“ผมให้นิยามให้กับลูกน้องว่าเราเป็นผู้ผลิต ใครอาจจะมองว่าเรื่องของโรงงานการผลิตต้องเป็นเลิศ วิศวกรรมต้องเจ๋ง การตลาดต้องสุดยอดเท่านั้น สำหรับผมแล้วไม่เลย ทุกส่วนผมให้ความสำคัญ บัญชีก็ต้องพัฒนาต่อไป เอชอาร์ก็ต้องเก่งมิใช่ทำทะเบียนรับเข้ารับออกอย่างเดียว ดูบริษัทใหญ่สิทำยังไงถึงมีพนักงานเก่งๆ เยอะ แม้กระทั่งช่างซ่อมจะมาเป็นช่างเหมือนในอู่ก็ไม่ได้ ทุกแผนกต้องเก่งในอาชีพของเขา ทุกส่วนต้องก้าวไปด้วยกันเหมือนทีมฟุตบอล เก่งเฉพาะกองหน้าแต่ตำแหน่งอื่นๆ ไม่เก่งก็เหนื่อย มันต้องเก่งทุกคน”
สริศ บอกว่า การจะให้ทุกคนในองค์กรเก่งต้องมีองค์ประกอบสำคัญอย่างน้อย 3 ประการ คือ หนึ่งศักยภาพหรือความรู้พื้นฐานที่แต่ละคนต้องมี สอง ทัศนคติที่ดี และสาม องค์กรต้องส่งเสริมและพัฒนาเขาอย่างต่อเนื่อง ถ้าครบถ้วนด้วยสามองค์ประกอบจะมีคนเก่งๆ มีความเจริญก้าวหน้า และอยู่กับองค์กรบริษัทไปนานแสนนาน
“ผมมองว่างานเยอะกว่าคนทำให้คนมีสิทธิเลือกงาน ดังนั้นเวลาที่เราจะพัฒนาคนให้เก่งอย่างแรกต้องมีทรัพยากรบุคคลที่มีความรู้ มีศักยภาพ สอง มีทัศนคติที่ดี คือเห็นด้วยกับเรา ไม่ใช่ว่าวันนี้อยู่กับเราได้ 5 หมื่น อีกวันมีองค์กรหนึ่งให้ 7 หมื่นไปเลย ซึ่งคนมักจะคิดกันอย่างนี้ แต่ลืมคิดไปว่าค่าเงินที่เยอะนั้นมันคือค่าของงานที่จะตามมาด้วยเสมอ ซึ่งหลายคนไม่มอง ฉะนั้นถ้าใครจะไป ก็ต้องดูว่าคุณมีกำลังหรือมีความสามารถที่จะรับงาน 7 หมื่นได้ไหม
มองเป็นเงินเดือนมองยาก เอาเป็นว่าสมมติมีถ้วยหนึ่งใบเต็มด้วย 5 หมื่น มีคนใส่เพิ่มอีก 2 หมื่นเป็น 7 หมื่น ถามว่าคุณสามารถรับอีก 2 หมื่นที่เพิ่มขึ้นมาพร้อมกับงานที่มากขึ้นได้จริงหรือเปล่า ถ้าได้ก็ดี ถ้าไม่ได้ไปบริษัทใหม่คุณก็อยู่ได้ไม่นาน ทุกคนต้องคิดว่าทุกวันนี้เราทำเต็มความสามารถของเราแล้วหรือยัง ถ้าเต็มแล้ว 100% แล้ว ทำมากกว่านี้ได้หรือเปล่า ถ้าได้บอกนายไปเลย ผมไปได้อีก มีอะไรให้ผมทำไหม แค่นี้เราก็เติบโตได้ ไม่ใช่ก้าวกระโดดกับบริษัทข้างๆ นี่คือเรื่องทัศนคติ ซึ่งผมว่าสำคัญกว่าเรื่องไหนๆ ด้วยซ้ำ” เอ็มดีหนุ่มย้ำหนักแน่น
สริศ พัฒนะเมลือง
นิคเนม : ซันนี่
อายุ : 38 ปี
สถานภาพ : มีครอบครัวและลูกสองคน
การศึกษา : ปริญญาตรีบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ปริญญาโทการตลาด มหาวิทยาลัยนิวแฮมป์เชียร์คอลเลจ สหรัฐอเมริกา
ความสามารถด้านภาษา : พูดอังกฤษและญี่ปุ่นได้
ไอดอล : คุณพ่อ (ชูทอง พัฒนะเมลือง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารไทยเคเบิลสตีล) มีมุมมองที่แตกต่าง มีวิสัยทัศน์กว้างและยาวไกล ขยัน ละเอียดลออ และมีระเบียบมาก
สิ่งที่ได้จากพ่อ : ความขยัน ความมีระเบียบ และความละเอียด อย่างกระดาษเอ 4 ที่เต็มด้วยตัวหนังสือมองแป๊บเดียวก็รู้ว่าตรงไหนผิด เป็นประสาทสัมผัสที่ได้รับการพัฒนาจากคุณพ่อ
ประสบการณ์ : หลังเรียนจบจากต่างประเทศก็เริ่มงานที่ไทยสตีลเคเบิล ก่อนจะถูกส่งตัวไปฝึกงานในโรงงานที่ประเทศญี่ปุ่น 2 ปี
ความสามารถ : พูดอังกฤษและญี่ปุ่น
ปรัชญาในการทำงาน : ไม่มีคำว่าดีที่สุด ยังมีอย่างอื่นดีกว่า ทุกอย่างจะต้องพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ เช่น โทรศัพท์ที่คิดว่าแจ๋วเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ปัจจุบันเป็นยังไงก็รู้กันอยู่ ในการทำงานก็เหมือนกันถ้าใครคิดว่าเราเก่งคนนั้นแพ้แล้ว
วันหยุด : ใช้เวลากับครอบครัว พาลูกๆ ไปเที่ยวเพื่อเปิดมุมมองชีวิตให้เขา ถ้าลูก 5-6 ขวบ อยากพาไปต่างประเทศเพราะทั้งโลกมิใช่มีประเทศไทยที่เดียว
สิ่งที่ชอบเป็นพิเศษ : ศิลปะภาพวาดและชอบไปดูงานศิลปะในงานนิทรรศการภาพวาดต่างๆ


