รองเท้าแตะไทย...โกอินเตอร์
ค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้นเป็น 300 บาททั่วประเทศ เมื่อวันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา
โดย...เจียรนัย อุตะมะ
ค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้นเป็น 300 บาททั่วประเทศ เมื่อวันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าพระอาทิตย์กำลังตกดินแล้ว สำหรับอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมหาศาลอย่างรองเท้า แต่คงเหมารวมไม่ได้กับรองเท้าแบรนด์ไทยที่ก้าวไกลไปถึงเมืองนอก
ไทยกำลังก้าวจากประเทศที่ได้เปรียบด้านค่าจ้างแรงงานถูก เป็นแรงงานที่มีฝีมือ
แต่ผู้ประกอบการสักกี่รายที่เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ และปรับตัวให้ทันโลกที่หมุนไป
เสมือนพระอาทิตย์ตกดินที่รอวันขึ้นมาใหม่ในวันรุ่งขึ้น
คงมีแต่เพียงรองเท้าแตะช้างดาว และกีโต้ แบรนด์เมด อิน ไทยแลนด์ ที่เลื่องชื่อในต่างประเทศ
ใครจะเชื่อว่ารองเท้าแตะหูหนีบตราช้างดาว รองเท้ายางพารา 100% สีพื้นๆ สีเขียว สีน้ำเงิน และสีแดง คู่ละ 99 บาท จะสะดุดตาดาราฮอลลีวูดอย่าง “เทย์เลอร์ มอมเสน” หรือ “เจนนี ลิตเติล เจ” แห่งกอสซิปเกิร์ล ถึงขนาดซื้อจากเมืองไทยแล้วหอบหิ้วไปใส่ที่สหรัฐให้เป็นที่ฮือฮา
แม้เทียบไม่ได้กับ ฮาวาเอียนนาส รองเท้าแตะยาง 100% แฟชั่นสีสันจี๊ดจ๊าดสัญชาติบราซิล ราคาเริ่มต้น 6505,400 บาท อันเป็นรองเท้าแตะคนจนในบราซิลที่ข้ามชนชั้นเป็นที่นิยมของชนชั้นกลางและชนชั้นสูงทั่วโลก
แต่สไตล์เรียบเท่ของช้างดาวก็ได้ใจสำหรับใครต่อใครที่นิยมความเรียบเท่ และครองใจชนทุกชั้นในต่างประเทศ
“ก้องศักดิ์ คู่พงศกร” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ เดอะวิจิตร รีสอร์ท วิลลา รีสอร์ตระดับห้าดาว 92 หลัง ที่ภูเก็ต กล่าวว่า รีสอร์ตวางรองเท้าแตะหูหนีบช้างดาวไว้ในวิลลาทุกหลังเพื่อให้บริการลูกค้าที่ส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรป เพราะเหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้บริการลูกค้าเวลาพักผ่อนเมื่อลูกค้าส่วนใหญ่ใส่คัตชูมา
รีสอร์ตต้องมีรองเท้าแตะเตรียมไว้ให้เปลี่ยนใส่ไปข้างนอกสำหรับเที่ยวทะเล รับประทานอาหาร ท่องเที่ยวเกาะ หรือบีชคลับ
“รูปทรงของรองเท้าแตะเหมาะกับวัฒนธรรมไทยจีน ของภูเก็ต และความที่เป็นรองเท้ายางทำให้ไม่เหม็นอับ ราคาไม่แพง พอใช้ไป 6 เดือน1 ปี ก็ทิ้งได้”
แม้ว่าสไตล์ของรองเท้านี้จะเตะตาฝรั่งมังค่าเพียงใด แต่สำหรับ “ซอโสตถิกุล” เจ้าของสินค้านี้ กลับมองว่าในระยะเริ่มต้นรองเท้าแตะช้างดาวยังจะเป็นสินค้าสำหรับชนชั้นกลางและชั้นล่างแถบอาเซียน
“เราอยากไปทีละขั้นตอน อยากเจาะตลาดอาเซียนก่อน แม้ว่านันยางจะมีผลิตภัณฑ์ทั้งรองเท้าแตะช้างดาวและรองเท้าผ้าใบนักเรียน แต่ถ้ามองไกลไปถึงต่างประเทศ เราคิดว่าน่าจะเป็นรองเท้าแตะช้างดาว เพราะมีสไตล์เป็นของตัวเอง เป็นที่ชื่นชอบของเพื่อนบ้าน ทั้งพม่า อินเดีย ปากีสถาน ตะวันออกกลาง และอินโดนีเซีย” จักรพล จันทวิมล ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจบริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง ทายาทรุ่นที่ 3 กล่าว
ปัจจุบันรองเท้าแตะช้างดาวส่งออกไปต่างประเทศ 10% ภายในปี 2558 คาดว่าจะเพิ่มเป็น 25% ของยอดขายทั้งหมด
ในพม่ารองเท้าแตะนันยาง หรือซินเจ (ช้างดาว) ครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดถึง 20% เพราะความทนทาน มีอายุการใช้งานเฉลี่ยกว่า 1 ปี
ไม่เพียงรองเท้าแตะช้างดาวเท่านั้น รองเท้าผ้าใบนักเรียนที่ผลิตโดยนันยางยังครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในประเทศไทยประมาณ 40%
บริษัท นันยางฯ มีอายุครบ 60 ปีในปีนี้ และผ่านวิกฤตการณ์มาถึง 5 รอบ แต่สามารถผ่านมาได้ด้วยดี ไม่ใช่เพราะเป็นธุรกิจของตระกูลใหญ่ แต่เป็นเพราะมีการบริหารความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ
“อย่าลืมว่าบริษัทเราก็เคยเล็กกว่าธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) อีก รุ่นก่อตั้งคุณตาคุณยายของผมท่านไม่มีอะไรเลย มาจากจีน เป็นหลงจู๊อยู่โรงไม้ซื้อมาขายไป จนซื้อลิขสิทธิ์มาผลิตเอง แต่เราโตมาได้เพราะรักษาคุณภาพ บางช่วงขาดทุนก็ทนเจ็บไม่ขึ้นราคาสินค้า เพื่อรอพิสูจน์ตัวเอง เราโตด้วยทุนตัวเอง”
“จักรพล” กล่าวว่า แม้ว่าค่าแรงงานเพิ่มขึ้น แต่พนักงานของนันยางได้พัฒนาฝีมือมาตลอด เนื่องจากพนักงานนับพันคนยังอยู่ครบ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงพนักงานเลยนับแต่ก่อตั้งบริษัทมา แม้ว่าจะอายุ 5070 ปีแล้วก็ตาม
“ช่วงน้ำท่วม เราเป็นโรงงานเดียวที่บางแคที่น้ำไม่ท่วมเลย เพราะพนักงานร่วมแรงร่วมใจปกป้องบริษัท” ธีระวัฒน์ ลิยมาสวัสดิ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง เสริม
นันยางมีตัวแทนจำหน่าย 6070 ราย ที่ 20 รายเป็นตัวแทนจำหน่ายให้บริษัทมาเกิน 50 ปี ตั้งแต่รุ่นพ่อจนรุ่นลูก และสืบทอดถึงรุ่นหลาน
เมื่อใดที่มีวิกฤติต้นทุนพุ่งเนื่องจากราคายางพาราราคาสูง ก็จะซื้อฟิวเจอร์สในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าเพื่อล็อกราคาไว้ป้องกันความเสี่ยง
จนถึงทุกวันนี้รองเท้านันยางสามารถสร้างรายได้หลักให้กลุ่มธุรกิจของตระกูลซอโสตถิกุลรองจากห้างสรรพสินค้าซีคอนสแควร์ และอันดับ 3 ธุรกิจรับสร้างบ้านซีคอน โฮม รวมถึงธุรกิจรีสอร์ต
รองเท้าแตะอีกยี่ห้อหนึ่งที่อยู่ได้ด้วยดีคือ กีโต้ รองเท้าแตะคีย์บอร์ด คู่ละประมาณ 100300 บาท ที่ตีตลาดต่างประเทศในทุกทวีปด้วยรองเท้าแตะเมด อิน ไทยแลนด์
“กีโต้ขายความเบา จนถึงล่าสุดในเรื่องของการยึดติดพื้นและเรืองแสง นำเสนอความแปลกใหม่ที่ปรับเปลี่ยนเรื่อยมา เพื่อทำให้ผู้บริโภคสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของนวัตกรรม” เนรมิต กิจกำจาย กรรมการผู้จัดการ บริษัท กีโต้ (ประเทศไทย) ผู้ก่อตั้ง กล่าว
ค่าแรงงานขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ต้นทุนของกีโต้เพิ่มขึ้นประมาณ 40%
“ไพศาล กิจกำจาย” เลขากรรมการผู้จัดการ บริษัท กีโต้ (ประเทศไทย) ทายาทรุ่นที่ 2 กล่าวว่า ยังคงขายสินค้าได้เหมือนเดิม อาจจะไม่ได้เร็วและจำนวนมากเหมือนที่ผ่านมา ต้องคอยพลิกแพลงรูปแบบสินค้า พัฒนาสินค้าให้อยู่ในราคาที่ลูกค้ารับได้
“ต้องพัฒนาให้สินค้าคงรูปแบบความสวยงามและแข็งแรง แต่อาจลดเรื่องการประดับตัวสินค้า ทำให้สวยแบบเรียบๆ เพราะอยู่ได้นานกว่าใส่สีใส่ไข่เยอะ”
สินค้าที่ทำให้กีโต้โด่งดัง คือ รองเท้าคีย์บอร์ด ช่วงกระแสไอทีกำลังแรง จึงทำให้เป็นที่จดจำ
เขากล่าวว่า อยากให้คนไทยมองแบรนด์ไทยมากขึ้น บริษัทไม่ได้มีเฉพาะรองเท้าแตะเท่านั้น ยังมีรองเท้าผ้าใบ และแตกออกไปทุกกลุ่ม ทุกวัย
ถ้าช่างฝีมือไทยอยู่เบื้องหลังการผลิตรองเท้าแตะก้องโลก อย่างฟิตฟลอป แล้วทำไมคนไทยต้องอยู่เบื้องหลังตลอดไป
ถึงเวลาที่แบรนด์ไทยจะก้าวไกลไปยังตลาดโลกแล้ว...
ล้อมกรอบ
รองเท้าแตะหูหนีบตราช้างดาว
&<2288;
&<2288;
ธุรกิจรองเท้านันยางเริ่มขึ้นเมื่อปี 2496 มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศสิงคโปร์
เดิมชื่อ หน่ำเอี๊ย (ภาษาจีนแต้จิ๋ว) หรือสิงคโปร์เรียก หนันหยาง แปลว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“วิชัย และบุญสม ซอโสตถิกุล รุ่นที่ 1 (ตาและยาย หรือปู่และย่าของรุ่นที่ 3)” นำรองเท้าจากสิงคโปร์เข้ามาขาย
แต่จอมพล ป.พิบูลสงคราม ไม่นิยมการนำเข้าสินค้า จึงตั้งโรงงานในประเทศไทย โดยช่วงแรกมีทีมช่างจากสิงคโปร์มาช่วยดู จนประเทศไทยมีความชำนาญและขายได้ดี สิงคโปร์จึงถอนตัวออกไป
สินค้าในเครือบริษัท นันยางฯ ประกอบด้วย รองเท้าผ้าใบนักเรียน รองเท้าฟองน้ำตราช้างดาว รองเท้ากีฬา ซึ่งเอกลักษณ์พื้นเขียวของนันยางได้รับความนิยมอย่างมาก นอกจากนั้นยังมีทั้งยางรถจักรยานและถุงเท้านักเรียนอีกด้วย
นันยางยังเป็นเจ้าแรกของไทยที่ใช้อักษรภาษาอังกฤษปักบนตัวสินค้าเพื่อให้ดูทันสมัยและมีข้อสังเกต
ปี 2556 นันยางภายใต้การบริหารของรุ่นที่ 3 ได้เพิ่มความสำคัญของการทำตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย ทั้งเฟซบุ๊ก ยูทูบ อินสตาแกรม โดยเฉพาะเฟซบุ๊กของนันยางมีสมาชิกกว่า 1.8 แสนคน และกว่า 80% เป็นกลุ่มผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
“เราจะไปไกลเท่าที่เราจะไปได้ ถ้าไกลเกินไป ผู้ใหญ่จะฉุดรั้งเราไว้เอง” จักรพล ทายาทรุ่นที่ 3 กล่าว
&<2288;
&<2288;
จากกิเลนสู่กีโต้
กีโต้ เกิดอยู่ในตลาดนี้มากว่า 20 ปี ซึ่งการก่อกำเนิดของกีโต้ก็เช่นเดียวกับรองเท้าหลายแบรนด์ในตลาด ที่เริ่มจากเจ้าของ คือ “เนรมิต กิจกำจาย” กรรมการผู้จัดการ บริษัท กีโต้ (ประเทศไทย) ทำธุรกิจขายส่งรองเท้า ก่อนที่จะสร้างแบรนด์ขึ้นมาเอง
แบรนด์แรกที่ถูกสร้างขึ้น คือ กิเลน ที่ส่งลงตลาดเมื่อประมาณ 30 ปีก่อน กิเลนเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีความแปลกใหม่และนำแฟชั่น เรียกได้ว่าฮิตมากย่านบางลำพู ซึ่งเป็นย่านช็อปปิ้งรองเท้าที่สำคัญของยุคกว่า 30 ปี
กิเลนดังอยู่พักใหญ่ก็ประสบปัญหาสินค้าถูกลอกเลียนแบบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรูปทรง สี การดีไซน์ หรือแม้กระทั่งชื่อแบรนด์ จนทำให้ “เนรมิต” จำใจต้องทิ้งแบรนด์กิเลน และมองไปที่การสร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมา ซึ่งเป็นแบรนด์ที่จะอยู่คู่บริษัทในระยะยาวตลอดไป
จนมาสะดุดที่ชื่อ กีโต้ ที่ใกล้เคียงกับชื่อกิเลนเดิม และกีโต้ก็ถือกำเนิดเมื่อประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา
ในยุคแรกกีโต้ทำรองเท้าทุกประเภท ทั้งรองเท้านักเรียน รองเท้าแฟชั่น และรองเท้าลำลอง ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่ และกีโต้ก็เป็นแบรนด์ที่ขายดีแบบเงียบๆ มานาน เนื่องจากเป็นที่รู้จักและมั่นใจในคุณภาพ รวมถึงการมียอดขายที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะการขายในระบบยี่ปั๊ว ซึ่งเป็นช่องทางการขายที่มีบทบาทอย่างมากในยุคนั้น เนื่องจากเคยเป็นยี่ปั๊วมาก่อน จึงมีสายสัมพันธ์และมีความรู้ความเข้าใจในระบบการจัดจำหน่ายเป็นอย่างดี
เมื่อทำตลาดมาระยะเวลาหนึ่ง ทางผู้บริหารของกีโต้ก็มองว่าน่าจะมีการเข้ามาสร้างแบรนด์อย่างจริงจังให้รู้จักในวงกว้างมากขึ้น เพื่อทำตลาดในลักษณะเข้าถึงคนจำนวนมาก เพราะต้องการที่จะได้มูลค่าการขายที่มากยิ่งขึ้น ส่งผลต่อต้นทุนในการผลิตที่สามารถทำให้ราคาถูกลงกว่าเดิมได้อีก เพราะจุดแข็งของกีโต้ตั้งแต่อดีตก็คือ การใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยเพื่อให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด และได้ราคาต้นทุนที่ต่ำที่สุด


