ลาวาซซ่า เครื่องชงกาแฟจากอิตาลี
ใครเป็นคอกาแฟ ย่อมยลยินมาแล้วถึงชื่อ ลาวาซซ่า (Lavazza) กาแฟพรีเมียม 1 ใน 5 ท็อปไฟว์ของโลก ปัจจุบัน ลาวาซซ่า
โดย...วันพรรษา อภิรัฐนานนท์/ ภาพ วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี
ใครเป็นคอกาแฟ ย่อมยลยินมาแล้วถึงชื่อ ลาวาซซ่า (Lavazza) กาแฟพรีเมียม 1 ใน 5 ท็อปไฟว์ของโลก ปัจจุบัน ลาวาซซ่า เป็นผู้คั่วบดกาแฟรายใหญ่อันดับ 6 ของโลก มีส่วนแบ่ง 50% ของตลาดกาแฟเอสเปรสโซในอิตาลี ปีที่ผ่านมามีรายได้รวม 1,100 ล้านยูโร หรือกว่า 5.5 หมื่นล้านบาท สุดยอดเลยใช่ไหม? วันนี้เราจะคุยกันถึงเครื่องชงกาแฟลาวาซซ่า อีกหนึ่งเคล็ดลับที่ทำให้รสชาติกาแฟลาวาซซ่า คงความเป็นกาแฟระดับโลกนั่นเอง
เครื่องชงกาแฟลาวาซซ่า
ลาวาซซ่า ตั้งอยู่ที่เมืองตูริน ประเทศอิตาลี ก่อตั้งในปี 1895 โดย ลุยจิ ลาวาซซ่า เขาเริ่มต้นจากร้านขายของชำ ขายสินค้าท้องถิ่นทั่วไป มีการคั่วกาแฟขายผู้คนในบริเวณนั้นบ้าง หากหลังจากนั้นก็เริ่มทุ่มเทและหลงใหลในกาแฟ แล้วเริ่มทำเป็นธุรกิจอย่างจริงจัง เปลี่ยนจากร้านขายของชำมาเป็นโรงคั่วกาแฟเพียงอย่างเดียว แล้วขยายไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก ปัจจุบันมีวางขายเกือบ 100 ประเทศทั่วโลก และปัจจุบันยังคงบริหารโดยสมาชิกตระกูลลาวาซซ่า รุ่นที่ 3 และรุ่นที่ 4
ในสมัยก่อน ชาวอิตาเลียนจะนิยมซื้อเมล็ดกาแฟดิบจากร้านค้ามาคั่วเองที่บ้านเพื่อดื่มวันต่อวัน ปัญหาคือกาแฟที่คั่วเองจะให้ผลที่แตกต่าง สุกบ้าง ดิบบ้าง ไม่สามารถควบคุมคุณภาพการคั่ว ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการควบคุมคุณภาพการคั่วให้เหมือนกัน ในทุกๆ ครั้งของการคั่ว นั่นทำให้ลุยจิตัดสินใจซื้อเครื่องคั่วกาแฟเครื่องแรกมาใช้
ในปี 1897 ลุยจิเริ่มคั่วกาแฟในร้าน โดยออกแบบกระบวนการควบคุมคุณภาพ และเริ่มการขายกาแฟคั่วสุกเป็นครั้งแรก จากนั้นก็มุ่งเฉพาะการคั่วกาแฟขายเพียงอย่างเดียว ถือเป็นรายแรกที่นำเข้าเมล็ดกาแฟดิบเข้าประเทศอิตาลี ในฐานะ Roaster ต่อมาในปี 1910 และในปีเดียวกันก็เริ่มนำเข้าไอเดียการเบลนด์กาแฟ โดยทดลองนำเข้ากาแฟแต่ละประเภทแต่ละสายพันธุ์ ผลที่ได้คือกาแฟที่หลากหลายรสชาติ ความกลมกล่อม และเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าอย่างมาก
ต่อมาในปี 1925 บริษัทเริ่มศึกษาเรื่องของแพ็กเกจที่ใช้สำหรับ Food Package พวก Food Paper หรือกระดาษที่ใช้ห่ออาหาร ปกติใช้ห่อพวกชีส แต่เนื่องจากกระดาษพวกนี้ไม่สามารถรักษากลิ่นและรสชาติของกาแฟไว้ได้นาน บริษัทได้นำกระดาษไขที่เรียกว่า Pergament Paper ซึ่งทนต่ออุณหภูมิสูงหรือต่ำมากๆ ได้ ขณะเดียวกันก็สามารถถ่ายเทอากาศได้บ้าง
ในปี 1957 บริษัทขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยขยายโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต ที่กอร์โซ โนวารา ในเมืองตูริน โดยนำระบบการผลิตแบบ Vertical ซึ่งเป็นการวางแผนการผลิตให้เริ่มจากชั้นบนสุดลงมาล่างสุด โดยเริ่มจากขั้นตอนการทำความสะอาดเมล็ด การเบลนด์ การคั่ว การแพ็ก และเก็บในสโตร์ที่อยู่ชั้นล่างสุด เพื่อพร้อมขนส่งออกจำหน่าย ประหยัดเวลา พลังงานและค่าแรงแบบเบ็ดเสร็จ
ในปี 1965 มีการนำเสนอสินค้าใหม่ กาแฟดีแคฟ Lavazza DEK – Free Caff ซึ่งได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างมาก เนื่องจากคนเริ่มมีปัญหาเรื่องสุขภาพ หรือมีปัญหาจากการดื่มกาแฟในปริมาณมาก ถือเป็นไลฟ์สไตล์แบบใหม่ ในปี 1990 นำระบบการสกัดสารกาแฟอีนออกจากเมล็ดโดยใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นอกจากนี้ก็เป็นผู้คิดค้นระบบกาแฟ Capsule เป็นรายแรก เพื่อให้ผู้ที่รักการดื่มกาแฟสามารถดื่มกาแฟที่สดใหม่ และมีคุณภาพดีเยี่ยมได้ง่ายๆ ที่บ้านของตัวเอง ทั้งหมดนี้ได้สะท้อนให้เห็นวิสัยทัศน์ ซึ่งนำมาสู่การรังสรรค์เครื่องชงกาแฟในเวลาต่อมา
ในปี 2004 ลาวาซซ่าผลิตเครื่องชงกาแฟขึ้นเป็นครั้งแรก โดยเริ่มต้นที่เครื่อง Lavazza Espresso Point และ Lavazza Blue ต่อมาในปี 2007 ลาวาซซ่ามีการออกสินค้าตัวใหม่ที่เรียกได้ว่าโด่งดังที่สุดในยุทธจักรกาแฟ นั่นคือ A Modo Mio ซึ่งเป็นเครื่องทำกาแฟที่ใช้กับแคปซูล โดยถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อใช้กับเครื่องรุ่นนี้โดยเฉพาะ ปรากฏว่า A Modo Mio ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เริ่มจากในยุโรป จากนั้นก็ขยายวงกว้างไปจนทั่วโลก
ประสบสุข ถวิลเวชกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลาวาซซ่า ประเทศไทย เล่าว่า เครื่อง A Modo Mio มีดีไซน์เฉพาะตัว โดยมีรูปทรงกะทัดรัด สีสันทันสมัย และสะดวกต่อการพกพา อีกทั้งยังสะดวกกับการใช้งานและการดูแลรักษา ผู้รักการดื่มกาแฟสดมั่นใจได้ว่า ทุกแก้วที่ชงออกมาจากเครื่องในระบบแคปซูลดังกล่าว จะได้มาตรฐานตามมาตรฐานของลาวาซซ่า
“เสมือนมีบาริสตามืออาชีพมาชงให้ดื่มเองถึงที่บ้าน” ประสบสุข กล่าว
เครื่องชงกาแฟทุกรุ่นของลาวาซซ่า ถูกออกแบบมาให้ง่ายและสะดวกต่อการใช้งานและการดูแลรักษาด้วยระบบอัตโนมัติ ตั้งแต่ระบบการเปลี่ยนแคปซูลอัตโนมัติ ระบบเปลี่ยนพ็อตอัตโนมัติ ระบบทำความร้อนอัตโนมัติ รวมถึงระบบการล้างเครื่องอัตโนมัติ ซึ่งง่ายและสะดวกสำหรับผู้ใช้งาน
ส่วนช่องทางการจัดจำหน่าย เน้นที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อดี มีรสนิยมในการใช้ชีวิต ล่าสุดคือที่ ชิค รีพับบลิค (Chic Republic) ซึ่งบริษัท ลาวาซซ่า ประเทศไทย ได้ร่วมกับบริษัท ชิค รีพับบลิค รังสรรค์พื้นที่ขนาดใหญ่ร่วมกันขึ้น สร้างเป็นพื้นที่สุดเอกซ์คลูซีฟสำหรับลาวาซซ่า เคาน์เตอร์โดยเฉพาะ
“เราสร้าง Exclusive ของ Lavazza ให้มีความโดดเด่น และแตกต่างจากช่องทางการขายอื่นๆ โดยลาวาซซ่าเคาน์เตอร์ที่ ชิค รีพับบลิค จะเป็นที่แรกและที่เดียวของลาวาซซ่าในไทย ที่รวบรวมสินค้าทุกอย่างของบริษัท เกรทเอิร์ธ อินเตอร์เนชั่นแนล ตัวแทนนำเข้าลาวาซซ่าในประเทศไทย นั่นทำให้ ชิค รีพับบลิค เป็นที่แรกและที่เดียวที่มีสินค้าลาวาซซ่าครบทุกรุ่นทุกแบบทุกสี รวมถึงการให้บริการหลังขายสมบูรณ์แบบ” กิจจา ปัทมสัตยาสนธิ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชิค รีพับบลิค กล่าว
สัมผัสความโดดเด่นและแตกต่างของเครื่องชงกาแฟจากลาวาซซ่าได้แล้ววันนี้ ที่ ชิค รีพับบลิค ถนนเลียบทางด่วนเอกมัยรามอินทรา (ใกล้ CDC) โทร. 02-514-7123
สูตรเด็ดจากลาวาซซ่า
1.เอสเปรสโซ
กาแฟที่มีปริมาณเพียง 1 ออนซ์ หรือ 2530 มล. รสชาติเข้มข้น เสิร์ฟในแก้ว 2 ออนซ์ หรือเล็กกว่า แต่ที่สำคัญต้องเสิร์ฟในแก้วที่ร้อน
ส่วนผสม
เอสเปรสโซ 30 มล. (1 ออนซ์)
การเตรียมการชง
เตรียมผงกาแฟ 7 กรัม สำหรับชงกาแฟ 1 ช็อต
เสิร์ฟในแก้วเอสเปรสโซอุ่น
2.ริสเทรตโต (Ristretto)
ใช้ผงกาแฟ 7 กรัม เท่ากับการชงเอสเปรสโซ แต่ต้องการปริมาณเพียงครึ่งหนึ่งของเอสเปรสโซ หรือเท่ากับครึ่งออนซ์เพียงเท่านั้น เวลาในการสกัดก็สั้นกว่าเอสเปรสโซ
3.เอสเปรสโซลุงโก Lungo
เป็นเอสเพรสโซที่ผสมน้ำมากขึ้น คือ จะสกัดนานขึ้นกว่าเอสเปรสโซปกติ ต้องการปริมาณน้ำประมาณ 1.5 ออนซ์ หลักๆ คือใช้สำหรับการชงอเมริกาโน


