ทั้งเจ๊ ทั้งซ้อ ขอ ดี เด่น ดัง
โดย...ตุลย์ จตุรภัทร ภาพ (12) วิศิษฐ์ แถมเงิน (3) ประกฤษณ์ จันทะวงษ์
โดย...ตุลย์ จตุรภัทร ภาพ (12) วิศิษฐ์ แถมเงิน (3) ประกฤษณ์ จันทะวงษ์
เคยมีคนพูดกับผมว่า “ยุคสมัยนี้ ใครๆ ก็เป็นซุป’ตาร์ได้” จะเป็นหมอ เป็นครู เป็นแม่ค้า เป็นทหาร เป็นคนธรรมดาๆ ฯลฯ ก็สามารถมีชื่อเสียงโด่งดังจนคนทั่วบ้านทั่วเมืองรู้จัก...ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
แต่สำหรับความคิดของผม นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คนธรรมดาๆ หาเช้ากินค่ำ จะสามารถมีชื่อเสียงโด่งดังได้อย่างไม่น่าเชื่อ เขาต้องมีดีในแบบของเขา และเขาต้องทำอะไรมากมายมหาศาล กว่าจะทำให้คนให้เกียรติด้วยการเรียกคำนำหน้าชื่อว่า “เจ๊” หรือ “ซ้อ” และยิ่งเป็นเจ๊หรือซ้อที่โด่งดังจนเป็นซุป’ตาร์ได้ขนาดนี้ บอกได้คำเดียวว่า “น่าติดตามเหลือเกิน”
เจ๊จง หมูทอด...ดังแบบไม่คิดว่าตัวเองดัง
“เจ๊ถามจริงๆ เจ๊ดังแล้วเหรอ”
นี่คงเป็นคำพูดถ่อมตัวของคนดัง ในการเจอกันครั้งแรกของ เจ๊จงจงใจ กิจแสวง เจ้าของร้าน “เจ๊จง หมูทอด” หลังโลตัส พระราม 4 ที่เปิดมาได้ 8 ปีแล้ว กับผม (ผู้สื่อข่าวที่ชอบรับประทานหมูทอดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว) จะด้วยความอร่อยของหมูทอด ด้วยความเป็นคนชัดเจนและปากตรงกับใจ หรือความที่ต้องออกสื่อมากมายหลากหลาย ความดังของเจ๊จงก็ประจักษ์ให้ใครต่อใครได้เห็นเป็นอย่างดี เพราะเจ๊แกดังจริงถึงขั้นมีลูกค้ามารอต่อแถวซื้อหมูทอด แถมพอเจอเจ๊จงก็รีบประกบคู่ถ่ายรูปอัพโหลดลงบนโซเชียลมีเดียทันทีไม่มีรีรอ
“สงสัยเจ๊จะดังจริง เดินไปห้างตั้งแต่ระดับรากหญ้าจนถึงคนมั่งมี ก็เข้ามาทักมาขอถ่ายรูปด้วย (หัวเราะ)”
ด้วยความที่เจ๊จงเกิดมาในครอบครัวยากจน หาเช้ากินค่ำด้วยการค้าขาย จนเป็นหนี้เป็นสิน อยากกินอาหารญี่ปุ่นเหมือนคนอื่นเขา ก็ไม่ได้กิน ได้แต่คิดในใจว่าสักวันจะต้องมากินให้ได้ จนมาถึงวันนี้ วันที่ร้านเจ๊จงหมูทอดประสบความสำเร็จ เปิดขายถึง 5 สาขาแล้ว ความดังของร้าน และชื่อเจ๊จง ยิ่งขจรขจายไปทั่วกรุง (แถมได้กินอาหารญี่ปุ่นสมใจอยาก จนใครชวนไปกิน ไม่ไปแล้ว)
ด้วยความเป็นคนตรงไปตรงมา ใครตรงมา เจ๊จงก็ตรงไป นี่จึงเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวที่ทำให้เจ๊จงเป็นที่รักใคร่ของลูกน้องบริวาร รวมทั้งลูกค้า และผู้ที่พบเห็น
เมื่อเจ๊จงมีชื่อเสียงและมีคนรู้จัก เจ๊จงบอกกับผมว่า วิธีรับมือกับความดัง คือการไม่มีวิธีรับมือ
“เจ๊เป็นยังไง เจ๊ก็เป็นอย่างนั้น เราต้องเป็นตัวของตัวเอง เจ๊ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย ไปข้างนอกก็เป็นแบบนี้ ใครเข้ามาทักก็สวัสดีอะไรไป และเวลาออกไปข้างนอก เจ๊ไม่แต่งตัวแต่งหน้าด้วยนะ เจ๊ชอบอะไรง่ายๆ ไม่ชอบเรื่องมาก ซื้อของก็เหมือนกัน ง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก”
แต่สิ่งที่เจ๊จงได้เรียนรู้จากความดัง และความเป็นคนมีชื่อเสียง มีคนรู้จักหลากหลายวัย หลากหลายสถานะ นั่นคือการได้เรียนรู้ “สังคมใหม่” ที่ทำให้เจ๊มีเพื่อนสนิทมิตรสหายเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเพื่อนจากสังคมออนไลน์
“ตอนนี้เจ๊เล่นเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม ทุกอย่างที่เขามีให้เล่น โซเชียลแคมด้วยนะ ซึ่งก็มีคนตามฟอลโลว์เยอะมากๆ เจ๊ว่ามันเป็นสังคมใหม่ที่มีแต่คนน่ารักๆ และรักเราเต็มไปหมด อย่างเวลาที่เจ๊อยู่ในช่วงอารมณ์ปรี๊ดแตก แล้วเราโพสต์อะไรลงไป ทุกคนจะรีบไถ่ถามด้วยความเป็นห่วง บางคนถึงขั้นมาหาเจ๊ถึงร้านเลย มีอยู่ช่วงหนึ่ง เป็นช่วงที่เจ๊จิตตก เขาก็บินมาจากต่างจังหวัด เราก็เลยลุกขึ้นไม่อยากให้เพื่อนเป็นห่วง บางคนเขาก็หวังมาพึ่งเรา หวังได้กำลังใจจากเรา แล้วถ้าเรายังจิตตกอยู่ มันไม่ได้ เจ๊เลยกลายเป็นคนที่ทำให้ตัวเองมีความสุข ถ้าทุกข์ก็ทุกข์ให้น้อยที่สุด”
ท้ายสุด ผมถามเจ๊จงว่า ถ้ามีคนชวนเข้าวงการบันเทิงอย่างเต็มตัว เจ๊จงสนใจไหม เจ๊จงหัวเราะใหญ่ พร้อมกับบอกผมว่า ก็น่าสนใจดี แต่คงทำไม่ได้อย่างแน่นอน
“ให้เจ๊ดังเพราะเป็นเจ๊จงขายหมูทอดนี่แหละ ดีที่สุด”
ซ้อหมี ซี้ดารา...ยิ่งซี้ ยิ่งดัง ยิ่งต้องระวัง
ก่อนที่รายการ “เช้าดูวู้ดดี้” จะปิดฉากลง มีผู้หญิงคนหนึ่งได้แจ้งเกิดในฐานะพิธีกรร่วมช่วงเมาท์มอยเรื่องดารา แจ้งเกิดจนทำให้มีโอกาสได้ลงเสียงโฆษณาสินค้ายี่ห้อหนึ่ง และไปไหนมาไหนก็ยังมีคนจำได้ ใช่แล้วครับ ผู้หญิงคนนี้เธอมีสมญานามว่า “ซ้อหมี...ซี้ดารา” หรือ “เขมณัทญา วิชชุประภา” หญิงสาวสุดแซ่บคนใหม่ของวงการบันเทิง
“เราเป็นคนชอบดารามาตั้งแต่เด็ก สมัยเรียนอยู่ที่เซนต์โยเซฟ คอนเวนต์ ทุกเช้าจะต้องจับกลุ่มเมาท์เรื่องดารากับเพื่อน ซึ่งเป็นแบบนี้มาตลอด และเด็ดกว่านั้นคือตอนพ่อแม่ให้เงินมาซื้อขนม เราเอาเงินไปซื้อหนังสือดารา ตั้งแต่สมัยดาราภาพยนตร์เล่มละ 7 บาท แถมยังตัดรูปดาราแปะฝาบ้านด้วยนะ ความชอบเมาท์มอยเรื่องดาราเลยค่อยๆ ซึมมาจนถึงทุกวันนี้”
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ซ้อหมีก็ได้ทำงานหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นคนดิวงานกับดาราตามงานอีเวนต์ต่างๆ ทำการตลาดของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ทำงานด้านครีเอทีฟที่ยังคงเกี่ยวเนื่องกับดารา จนมีคอนเนกชันกับดารามาเรื่อยๆ
“จนมาเป็นเพื่อนกับวู้ดดี้ตอนเรียนปริญญาโทที่นิเทศศาสตร์ จุฬาฯ พอเจอกัน ได้คุยกัน วู้ดดี้บอกว่าเราเป็นคนตลก เลยชวนมาทำงานด้วย ตอนแรกก็ปฏิเสธไป จนวู้ดดี้บอกว่ามาเหอะ อยากได้เรามาร่วมงานจริงๆ ก็เลยลาออกจากงาน แล้วมาทำกับวู้ดดี้ มาช่วยงานในส่วนของพีอาร์”
กระทั่งมาถึงจุดกำเนิดของซ้อหมี เธอเล่าให้ฟังว่า เกิดขึ้นในช่วงที่ดาราแต่งงานกันเยอะมาก มากเสียจนวู้ดดี้จำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร เลยต้องให้เธอคนนี้ ผู้ที่รู้ดีที่สุดในเรื่องของดารามาเมาท์มอยเสียเอง
“ตอนนั้น เด็กทำสคริปต์บอกให้วู้ดดี้พูดชื่อดาราที่แต่งงานกัน แต่วู้ดดี้จำไม่ได้ เพราะมันเยอะ เลยต้องถามว่าใครเป็นคนให้ข้อมูลมา เด็กก็ตอบว่าพี่เขม วู้ดดี้เลยให้เด็กไปเรียกเราออกมา เราก็ไม่รู้ คิดว่าประชุม วู้ดดี้บอกให้เราเข้าฉาก เราก็ตกใจ”
แต่ด้วยความสดใหม่ ทำให้ซ้อหมีเดินเข้าฉากมานั่งเมาท์มอยเรื่องดารากับวู้ดดี้ เหมือนนั่งคุยกับเพื่อน เมาท์ให้เพื่อนฟัง ไม่ได้มานั่งพูดแบบเป็นพิธีกรมืออาชีพ
“แล้วเรื่องชื่อซ้อหมีนี่ฮามาก มาจากตอนไปเกาหลีเพื่อถ่ายสกู๊ปในรายการเช้าดูวู้ดดี้ เราชอบเท็ดดี้แบร์มาก ก็ไปร้านเท็ดดี้แบร์ในเกาะเชจู ทุกคนก็บอกว่าเราเหมือนหมี เลยเรียกเราว่าแม่หมี กลับมาจากเกาหลีก็ยังเรียกอยู่ จนวู้ดดี้บอกว่าเราเหมือนหมีจริงๆ และคำว่าซ้อมาจากเทปแรกที่อัด ทุกคนก็คิดว่าจะให้เราชื่ออะไรดี แม่หมีก็ตลก ทุกคนเลยคิดถึงซ้อเจ็ดไง ก็เลยเป็นซ้อหมีแห่งวงการบันเทิง พอเสร็จจากเทปนั้น วู้ดดี้บอกเราว่า จริงๆ เราก็ซี้กับดารานะ ใช้ชื่อซ้อหมี...ซี้ดาราเลยมั้ย มันดูน่ารักดี ไม่ได้ไปดุด่าจิกกัดดาราอะไร ตอนแรกก็เครียด เพราะมีเพื่อนเป็นดาราเยอะมาก กลัวว่าจะไม่มีใครกล้าคุยกับเรา แต่ปรากฏว่าดาราทุกคนเข้าใจเราดี ไม่มีใครเกลียด มีแต่คนขำ”
หลังจากเป็นซ้อหมี...ซี้ดาราแล้ว ซ้อหมียอมรับว่า ไปไหนมาไหนคนรู้จักเยอะขึ้น ส่วนใหญ่แฟนคลับจะเป็นคุณแม่บ้านเสียมากกว่า
“มีอยู่วันหนึ่ง ไปเดินหลังการบินไทย ไม่แต่งหน้าด้วยนะ แต่มีคนมาทักเรา มาถามเราว่าเราคือซ้อหมี...ซี้ดาราหรือเปล่า บางคนก็เข้ามาถามเรื่องดารา อย่างล่าสุดไปถ่ายคุณสุมณีที่บ้าน เราก็ไปทำงานปกติ ไม่ได้แต่งหน้าแต่งตัวอะไร คุณสุมณีก็ทักว่านี่ซ้อหมีหรือเปล่าคะ เราก็ดีใจที่ผู้ใหญ่ระดับบิ๊กๆ จำเราได้”
เมื่อมีคนรู้จักมากขึ้นแล้ว โด่งดังแล้ว สิ่งสำคัญที่ซ้อหมียึดถือ คือ ไม่ไปหลงระเริงกับมันมาก
“เราต้องแคร์ดาราที่เรารู้จักด้วย เพราะวงการนี้ทำงานกันแบบน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า ที่มีเส้นบางๆ กั้นอยู่ ถามว่าเสี่ยงมั้ย ก็เสี่ยงนะ ถ้าเราทำไม่ดี อาจจะมีคนในวงการบันเทิงว่าเราก็ได้ ตรงนี้เราต้องระวังเหมือนกัน เรื่องไหนพูดได้ก็พูด เรื่องไหนพูดไม่ได้ก็ไม่ต้องพูด”
เมื่อเข้าสู่วงการบันเทิงด้วยการเป็นซ้อหมี...ซี้ดารา ย่อมต้องมีคนชวนไปเล่นหนังเล่นละครบ้างล่ะ ซ้อหมีบอกว่า ก็มีเหมือนกัน แต่ชวนไปทำแบบขำๆ มากกว่า
“ถ้าได้ไปเล่นละครจริง คงเป็นบทคนชอบเมาท์มอยนี่แหละ ถนัดสุด (หัวเราะ)”
2 เจ๊สุด ‘แซ่บ’ แห่งวงการบันเทิง
เจ๊จุ๋ม ปอยเด้งนพขวัญ นาคนวล
นักข่าวสาว ผู้เปลี่ยนวิกฤตจากความทุกข์ของน้ำท่วม ให้เป็นข่าวที่สร้างสีสันคลายเครียด โดยนำความร่าเริงที่มีอยู่ในตัวเองมาสร้างความสุขให้กับประชาชน จนเป็นที่รู้จักมากขึ้น และยังต่อยอดความฮามายังรายการเก็บตก จนได้รับฉายาว่า “เจ๊จุ๋ม ปอยเด้ง” เนื่องจากมีผมที่เป็นพวงหางกระรอกเด้งดึ๋งๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง รวมทั้งเสียงหัวเราะและความเป็นคนบ้านๆ ที่เข้าถึงได้ง่าย จนทำให้เธอโด่งดังมาจนถึงทุกวันนี้
เจ๊จ่าวรชาติ เฉลิมชัย
อดีตคอลัมน์ตำรวจแฟชั่นในนิตยสารอุ๊บส์!! และอดีตพิธีกรช่วงเจ๊จ่าจับกระจาย ในรายการดาวกระจายสุดสัปดาห์ แม้ว่าเจ๊จ่าจะกลายเป็นอดีตไปแล้ว แต่ภาพจำของเจ๊จ่าในสายตาของชาวบ้านร้านช่องก็ยังมิลบลืม ยังเป็นภาพเจ๊จ่าให้ไฟเขียวไฟแดงชุดดาราได้แซ่บแสบทรวง จนถึงขั้นเป็นออริจินัลในการยกป้ายไฟเขียวไฟแดงที่ยากจะหาใครเหมือน
เจ๊ๆ ซุป’ตาร์ ฆ่าไม่ตาย
เจ๊ง้อณชนก แซ่อึ้ง
ประธานกรรมการ บริษัท ครัวเจ๊ง้อ ที่มีถึง 10 สาขา ที่ไม่มีโมเมนต์ไหนจะไม่แต่งสวย แม้กระทั่งตำส้มตำก็ต้องสวยไว้ก่อน อีกทั้งยังเป็นคนที่ทำอาหารได้แตกต่างและพิเศษกว่าที่อื่น จนสามารถขายในราคาที่สูง แต่กลับมีลูกค้ามาอุดหนุนเพียบ ทุกวันนี้คนก็ยังไปรับประทานอาหารร้านครัวเจ๊ง้อ แถมยังชื่นชมความงามที่วัยไม่อาจกระชากความสดใสไปจากเจ๊ง้อได้


