posttoday

ปิยะมาน เตชะไพบูลย์ Simply the Best

26 มกราคม 2556

ปิยะมาน เตชะไพบูลย์ หญิงเก่งผู้รับผิดชอบสองหน้าที่ในคนเดียว ซึ่งไม่ใช่ตำแหน่งเล็กๆ แต่เป็นตำแหน่ง

ปิยะมาน เตชะไพบูลย์ หญิงเก่งผู้รับผิดชอบสองหน้าที่ในคนเดียว ซึ่งไม่ใช่ตำแหน่งเล็กๆ แต่เป็นตำแหน่ง

โดย...กาญจน์ อายุ

ปิยะมาน เตชะไพบูลย์ หญิงเก่งผู้รับผิดชอบสองหน้าที่ในคนเดียว ซึ่งไม่ใช่ตำแหน่งเล็กๆ แต่เป็นตำแหน่ง “ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย” และ “กรรมการผู้จัดการโรงแรมรีเจนท์ ชะอำ บีช รีสอร์ท” ตำแหน่งใหญ่ที่อยู่สูงสุดของชาร์ตตำแหน่งงาน คนส่วนใหญ่มักรู้จักคุณปิยะมานในตำแหน่งแรกเช่นเดียวกับเธอ ที่ยกให้หน้าที่ประธานสภาฯ เป็นงานอันดับ 1

เธอถูกโหวตให้เข้ารับตำแหน่งประธานสภาฯ เป็นสมัยที่ 2 ในปีนี้ หรือเป็นปีที่ 3 แล้วสำหรับเธอ เดินหน้าทำผลงานให้เป็นชิ้นเป็นอัน และวางรากฐานด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้แข็งแกร่งเพื่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

และในปีนี้ด้านงานที่โรงแรม เดอะ รีเจนท์ ชะอำ ก็มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญเพราะจะได้รีแบรนด์ใหม่ กลับมาให้คนไทยบริหารเองหลังจากให้แบรนด์ต่างชาติเข้ามาบริหาร

เธอพูดตลอดว่าตัวเองเป็น “แม่ค้า” แม่ค้าที่ไม่มีเค้าของคำว่าแม่ค้าปากตลาด แต่เป็นคนที่มีทัศนคติในแง่ดีที่อยากเห็นการท่องเที่ยวของประเทศไทยก้าวหน้าและยั่งยืน

สภาฯ ทำอะไร

คุณปิยะมานขอเริ่มต้นที่ความหมายของสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฯ เธออธิบายว่า สภาฯ คือการรวมตัวของสมาคมที่เกี่ยวกับท่องเที่ยว เป็นตัวแทนของผู้ประกอบการเอกชนไปคุยกับภาครัฐ เอกชน ด้วยกันเอง องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชน หรือพูดง่ายๆ คือ เป็นที่ให้ภาคเอกชนคุยกันเองก่อนแล้วนำไปเสนอส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ในสภาฯ ยังเป็นพื้นที่พัฒนาผู้ประกอบการและแรงงานด้านการท่องเที่ยวผ่านการอบรมและการแลกเปลี่ยนความรู้ด้วยกันเองในสภาฯ ซึ่งมีเป้าหมายสุดท้ายคือ “จะทำอย่างไรให้การท่องเที่ยวยั่งยืน”

“ตอนนี้เรามีสมาชิกประมาณ 70 สมาคมใหญ่ๆ” คุณปิยะมาน กล่าว “เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเอกชนไม่ทะเลาะกันแล้วนะ แต่ทำงานร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาให้วงการท่องเที่ยวดีขึ้น

โดยเราต้องทำงานร่วมกับรัฐ เอกชน องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น และชุมชน 4 ขาที่ต้องไปด้วยกัน สภาฯ เป็นเพียง 1 ขาเท่านั้น ถ้าเราทำอะไรที่เป็นเรื่องใหญ่ก็ต้องไปขออีก 3 ขามาช่วย”

4 ขา

คุณปิยะมานพูดถึงการประสานงานกับภาครัฐ ว่า “ตอนนี้โชคดีที่นายกฯ มีเป้าหมายด้านการท่องเที่ยว ตั้งไว้เลยว่า 3 ปี มีเงินเท่าไร มีคนเท่าไร พอมีเป้าหมายทำให้เมื่อมีเรื่องด่วนก็เร่งได้ พูดได้ว่าเมื่อทั้งสองฝ่ายมีเป้าหมายเรื่องเดียวกันก็ช่วยเหลือกันนั่นเอง”

นอกจากนี้ คุณปิยะมานยังอยากให้ภาครัฐส่งเสริมให้การท่องเที่ยว “เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต” แปลว่า “สามารถหักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ลดหย่อน 1.5 หมื่นบาท ในการเดินทางใช้จ่ายในประเทศ” ง่ายๆ คือ เมื่อคนไทยใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวแล้ว สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้

ซึ่งนโยบายนี้เคยเกิดขึ้นจริงแล้วครั้งหนึ่งเมื่อสมัยพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล แต่บังคับใช้สั้นเกินไปและขาดการประสัมพันธ์ ประชาชนจึงไม่รู้

สำหรับภาคเอกชนด้วยกันเอง ทางสภาฯ จะเป็นตัวกลางในการแก้ปัญหา เช่น เมื่อมีปัญหาระหว่างไกด์กับบริษัทนำเที่ยว เราก็จะเข้าไปไกล่เกลี่ย หาข้อตกลงร่วมกัน

และสำหรับขาที่ 3 องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น สภาฯ จะเข้าไปให้ความรู้ ไปทำความเข้าใจ เช่น ปัญหาป่าตองเสื่อมโทรม มันเป็นปัญหาการจัดการในท้องถิ่น เราก็จะเข้าไปช่วยแก้ปัญหา เหมือนเป็นมือหนึ่งที่ยื่นเข้าไปช่วยเหลือ และในความเห็นส่วนตัวของคุณปิยะมาน เธอมองสาเหตุที่มักเกิดในขาที่ 3 ว่าเป็นเพราะเมืองไทยเป็นการกระจายอำนาจเร็วไป คนเรายังไม่พร้อม ยิ่งในเรื่องการท่องเที่ยวที่มีผลประโยชน์เยอะ เลยทำให้เกิดเป็นกรุ๊ปเป็นก๊ก ซึ่งทำให้เกิดปัญหาอิทธิพลในท้องถิ่นขึ้น

และขาสุดท้าย ชุมชน ทางสภาฯ ต้องลงพื้นที่เข้าไปถามคนในท้องถิ่นว่าอยากได้แค่ไหน ยกตัวอย่าง เชียงคาน ภาคเอกชนต้องลงไปถามคนเชียงคานว่าอยากได้ถึงขนาดไหน เพราะถึงแม้เชียงคานจะเป็นเมืองท่องเที่ยวเหมือนกัน แต่ละสถานที่มันรองรับได้ไม่เท่ากัน อย่าง กรุงเทพฯ รับคนได้เยอะ แต่เชียงคานไม่ใช่กรุงเทพฯ ดังนั้น จึงต้องลงไปศึกษาว่าแต่ละที่รับได้แค่ไหนถึงจะถูกต้อง

3 ปัญหา

ในการแก้ปัญหาได้ก็ต้องทราบก่อนว่าปัญหาเหล่านั้นคืออะไร คุณปิยะมาน กล่าวถึง 3 ปัญหาหลักในภาคการท่องเที่ยวดังนี้

หนึ่ง ปัญหาแหล่งท่องเที่ยวเสื่อมโทรม “นักท่องเที่ยวเที่ยวแบบกระจุกแต่ไม่กระจาย ทำให้สถานที่อย่างภาคใต้ อันดามัน หรือในกรุงเทพฯ เสื่อมโทรมหนัก” และเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกในเมืองท่องเที่ยว “เราต้องให้ความสำคัญเรื่องจำนวนห้องพัก เช่น ในเกาะสมุย แต่ก่อนมี 2 หมื่นห้อง ตอนนี้มี 5 หมื่นห้อง ก็มีปัญหาเรื่องไฟฟ้าดับ ส่งผลกระทบถึงท้องถิ่น” เธอยกตัวอย่าง

สอง การเข้าถึง “มันต้องปลอดภัยและได้มาตรฐาน” เธอกล่าว “บางแหล่งไม่มีรถโดยสารสาธารณะ จึงเกิดการขูดรีดนักท่องเที่ยว”

และสาม คน ที่รวมทั้งผู้ประกอบการและแรงงาน ในฟากผู้ประกอบการต้องให้การอบรมเรื่องการจัดการ และต้องมีพื้นที่ให้แลกเปลี่ยน สร้างเครือข่ายในพื้นที่ ส่วนฟากแรงงานสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “ต้อง Combine Job” คุณปิยะมาน อธิบายว่า “ต้องใช้หลักทำงานได้หลายอย่างก็ได้เงินมาก เช่น คนคนหนึ่งต้องทำได้ทั้งพาแขกไปส่งที่โต๊ะ รับออร์เดอร์ เก็บจาน เป็นบาร์เทนเดอร์ คนเดียวต้องทำได้หลายหลาก เพื่อจะได้รายได้มากกว่าเดิม”

แต่เมื่อทั้ง 3 ปัญหาแก้ไขได้แล้ว ใช่ว่าการท่องเที่ยวจะยั่งยืน “เพราะเราต้องเพิ่มการบริโภคในประเทศด้วย ก็จะมีรายได้นานๆ ผู้ประกอบการก็จะมีรายได้โดยไม่ต้องรอต่างชาติ”

โอกาส AEC

เมื่อถามเธอถึงผลกระทบเมื่อเปิด AEC เธอตอบเพียงสั้นๆ ว่า “เราต้องมองเป็นโอกาส” ซึ่งถ้าจะมีอะไรมากระทบเธอก็มองเห็นสองเรื่อง นั่นคือ เรื่องการลงทุนที่ต่างชาติสามารถมาสร้างโรงแรมและถือหุ้นได้มากกว่าร้อยละ 50 เธอเห็นว่า “เรื่องนี้มันเกิดขึ้นนานแล้ว ประมาณ 3 ปีได้แล้วมั้ง และในเงื่อนไขก็บอกชัดเจนว่าต้องเป็นโรงแรมห้าดาวเท่านั้น ดังนั้น ถ้าจะไปกลัวว่าตอนเปิด AEC ต่างชาติจะเข้าไปครองก็ไม่ต้องกลัว เพราะเขามากันเยอะแยะแล้ว”

และเรื่องกลัวเขามาแย่งงานเรา เธออธิบายว่า “ตามเงื่อนไขเปิดให้ต่างชาติเข้ามาทำงานได้แค่ 32 ตำแหน่งงานในธุรกิจโรงแรมและบริษัทนำเที่ยวเท่านั้น เรื่องที่เขาจะมาแย่งงานแรงงานไทยทำ เช่น ตำแหน่งคนทำความสะอาดก็ไม่ต้องกลัว เพราะเราไม่เปิดให้เขาทำ”

ในเรื่อง AEC คุณปิยะมานคิดเช่นนี้ ซึ่งเธอบอกว่า “พี่มองโลกในแง่ดี” การเปิด AEC จึงเป็นโอกาสมากกว่าปัญหา

เที่ยวกับพักผ่อน

สำหรับส่วนตัวคุณปิยะมานเองเป็นคนที่เที่ยวบ่อยอยู่แล้ว แต่เธอมักจะแยกคำว่า “เที่ยว” และ “พักผ่อน” ออกจากกัน

“เที่ยว คือการไปดูๆ ว่ามีอะไร ส่วนการพักผ่อน คือการไปแบบปิดสวิตช์”

ส่วนสถานที่ที่เธอมักไปพักผ่อนคือ “ชะอำ” สถานที่เที่ยวยอดฮิตใกล้กรุงเทพฯ ที่ดูแล้วไม่น่าสงบ แต่เธอบอกว่า “ต้องไปให้ถูกวัน ลองเจียดเวลาวันธรรมดาไปดูแล้วจะได้พักผ่อนจริงๆ”

เธอกล่าวด้วยว่า ชะอำมี 2 คาแรกเตอร์ หนึ่ง คือเป็นที่เที่ยว เพราะตอนนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้นมากมาย สอง คือไปพักผ่อน เพราะชะอำยังไม่โตเท่าที่อื่น ยังให้บรรยากาศแบบต่างจังหวัดอยู่

ส่วนสถานที่พักผ่อนก็ต้องเป็นที่โรงแรมของเธออยู่แล้ว “โรงแรม เดอะ รีเจนท์ ชะอำ” ที่เธอเปรียบเปรยอย่างน่ารักว่า “ถ้า เดอะ รีเจนท์ เป็นดอกไม้ คงไม่ใช่ดอกทิวลิปหรือดอกกุหลาบ แต่เราเป็นดอกชบา ที่ธรรมดา แต่มีลักษณะเฉพาะตัว”

ถ้าเปรียบคุณปิยะมานเป็นดอกไม้ เธอก็คงเป็นดอกชบาเช่นกัน ที่ดูภายนอกเป็นผู้หญิงธรรมดา แต่มีความเก่งเฉพาะตัว

 

ข่าวล่าสุด

Samsung ผนึก Google Gemini เผยโฉมครัว AI สุดล้ำที่ CES 2026