อำนาจ...
“อำนาจ” ตามพจนานุกรมแปลว่า “อิทธิพลที่จะบังคับให้ผู้อื่นยอมทำตาม หรือความสามารถที่จะบันดาลให้เป็นไปตามประสงค์”
“อำนาจ” ตามพจนานุกรมแปลว่า “อิทธิพลที่จะบังคับให้ผู้อื่นยอมทำตาม หรือความสามารถที่จะบันดาลให้เป็นไปตามประสงค์”
โดย...วีรณัฐ โรจนประภาwww.veeranut.com, www.facebook.com/kidmai
“อำนาจ” ตามพจนานุกรมแปลว่า “อิทธิพลที่จะบังคับให้ผู้อื่นยอมทำตาม หรือความสามารถที่จะบันดาลให้เป็นไปตามประสงค์”
วิวัฒนาการของอำนาจนี้มีมาตั้งแต่มนุษย์เริ่มละโมบ โลภมากมีการสะสมส่วนเกิน เกิดการเอารัดเอาเปรียบกันจากเล็กๆ น้อยๆ ขยายเป็นการคดโกง ฉ้อฉล จนใหญ่ขึ้นเป็นการทุจริต คอร์รัปชัน และเมื่อผลประโยชน์ที่ได้มานั้นไม่ชอบธรรมผู้ครอบครองจึงมีความวิตกในการรักษาทรัพย์นั้นไว้และเพื่อรักษา “ส่วนเกิน” นั้นไว้ให้ปลอดภัยที่สุดก็ต้องแสวงหาอำนาจมาสู่ตน ซึ่งอำนาจที่ต้องการก็เป็นสัดส่วนตามทรัพย์สินที่ต้องการปกป้อง หากไม่มากก็ขอเพียงอำนาจเล็กน้อยพอให้อุ่นใจ แต่หากทรัพย์มากระดับประเทศก็ต้องการอำนาจในระดับผู้นำ
อาจกล่าวได้ว่า “อำนาจ” นี้เป็นสิ่งคู่กันกับ “ผลประโยชน์” นั่นเอง เป็นเสมือน 2 ด้านของเหรียญเดียวกัน ที่ใดมีผลประโยชน์ ที่นั่นย่อมต้องมีคนใช้อำนาจ
แม้ประวัติศาสตร์มนุษย์จะผลัดเปลี่ยนมาหลายยุค แต่จุดร่วมของผู้นำในทุกยุคที่เหมือนกันก็คือจะใช้ “ความกลัว” เป็นเครื่องมือ ผู้มีอำนาจก็คือผู้ที่ถือครองสิ่งที่คนจำนวนมากกลัวอยู่ในมือ หากแยกตามยุคใหญ่ๆ ก็สามารถเรียบเรียงอำนาจกับความกลัวที่ใช้ในยุคต่างๆ ได้ดังนี้
ยุคหิน... ผู้ปกครองในยุคนี้ไม่มีอะไรซับซ้อนใช้กำลังกายที่แข็งแกร่งกว่าในการกำราบเพื่อนๆ เพื่อขึ้นสู่ความเป็นผู้นำเผ่าที่จะแสวงหาประโยชน์สู่ตน ขณะเดียวกันก็เริ่มมีวิวัฒนาการในการใช้ความกลัวแฝงเร้นอย่างกลัวไฟ กลัวน้ำ กลัวธรรมชาติ เป็นเครื่องมือในการปกครอง สะท้อนออกเป็นหมอผีประจำเผ่า
ยุคเกษตรกรรม...เมื่อมนุษย์เริ่มมีความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติมากขึ้น ก็เริ่มมีการลงหลักปักฐาน เริ่มไม่อยากเร่ร่อนหาอาหารไปเรื่อยแบบมนุษย์ยุคหิน มีการทำปศุสัตว์เพื่อสนองความโลภ และความขี้เกียจ และอาจกล่าวได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทางความคิดที่มนุษย์เริ่มคิดว่าเผ่าพันธุ์นี้เป็นเจ้าโลก สามารถที่จะจัดการกับธรรมชาติได้ อำนาจในยุคนี้ก็คืออาวุธ ที่ผู้มีมากกว่า ทันสมัยกว่าสามารถที่จะนำไปใช้ข่มขู่เอาสิ่งที่ตนต้องการมาได้ ในด้านความกลัว ด้วยมนุษย์เริ่มเข้าใจธรรมชาติมากขึ้นจะใช้ความกลัวไฟ กลัวฟ้าผ่ามาปกครองแบบหมอผีจึงไม่ได้อีกต่อไปผู้ปกครองจึงใช้ความกลัวในสิ่งที่ละเอียดอ่อนกว่าเดิม นั่นคือ “ความเชื่อ” แม้กระทั่ง “ศาสนา”
ยุคอุตสาหกรรม...ถัดมาเมื่อมนุษย์เริ่มมีความรู้มากขึ้นอีก เริ่มมีการประดิษฐ์เครื่องจักรต่างๆ โดยเฉพาะเครื่องจักรไอน้ำ นั่นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เพราะเครื่องจักรที่ผลิตได้มากเริ่มมากเกินความต้องการของมนุษย์ จึงต้องเริ่มมีการออกล่าอาณานิคมเพื่อหาทั้งวัตถุดิบมาป้อนเครื่องจักร หาแรงงานมาทำงานหนักแทนประชากรของตนที่เคยชินกับความสบายที่ไม่ต้องทำอะไรเนื่องจากเครื่องจักรผลิตให้หมดแล้ว และหาตลาดมารองรับสินค้าที่ออกมาจากการผลิตอันมากมายนั้นด้วย โลกจึงเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม อาวุธในยุคนี้ก็คือตัวเดียวกับผลประโยชน์นั่นคือ “เงิน” คือ “ดอกเบี้ย” ขณะเดียวกันคนก็เริ่มมาศรัทธากับศาสนาใหม่ที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์แทน รวมถึงผู้นำทางสังคมใหม่จากพระเจ้า ผู้นำลัทธิเป็นดารา นักร้อง ผู้ปกครองจึงใช้ความกลัวเรื่องที่เนียนยิ่งขึ้นนั่นคือกลัวจน และกลัวไม่เด่นดัง
ยุคข้อมูลข่าวสาร...หรือยุคปัจจุบัน ยุคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทุกมิติทั้งเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง สังคม รวมถึงความรู้ ที่จากเป็นทุนในการใช้แปรเป็นสินค้ามาหาเงินแล้ว ความรู้ในยุคนี้กลายเป็นอาวุธที่ใช้ในการปกครองคนด้วย หรือจะกล่าวว่า “ความรู้” กลายเป็นอำนาจไปแล้วก็ได้ ขณะที่เงินแม้จะยังมีอิทธิพลอยู่มากมหาศาลแต่ก็ลดการผูกขาดลง จะสังเกตได้ว่าผู้ร่ำรวยสมัยนี้สามารถสร้างตัวจากความไม่มีอะไรได้หากมีความรู้ หรือข่าวสารข้อมูล ที่ใครมีครอบครองมากและลึกย่อมถือไพ่เหนือกว่าหรือมีอำนาจมากกว่า ยิ่งหากบวกกับสื่อสารมวลชนด้วยแล้ว แม้แต่ผู้ครองอาวุธที่ร้ายแรงที่สุดในโลกก็อาจไม่สามารถเอาชนะผู้ครองสื่อและข้อมูลลึกได้ ขณะที่ความกลัวยุคนี้ย่อมเนียนขึ้นอีกมากด้วยการสร้างให้คนกลัว “ความลำบาก” กลัวว่าตนเองจะไม่มีความสุขซึ่งความกลัวเหล่านี้ทำให้กลายเป็นทาสโดยที่ไม่รู้ตัวว่าเป็นทาส ปัจจุบันเราเห็นได้จากการใช้นโยบายประชานิยม
แล้วจะแก้ไขเช่นไร ?...
คำตอบในอุดมคติก็คือต้องอาศัยการอยู่ร่วมกันที่ไม่ต้องใช้ความกลัวในการบังคับใครให้อยู่ใต้อำนาจ หรือเป็นการใช้อิทธิพลให้คนยอมทำตามดั่งคำแปลประโยคแรก แต่หันมาใช้ประโยคหลังคือ ความสามารถที่จะบันดาลให้เป็นไปตามประสงค์ อำนาจชนิดนี้ก็คืออำนาจแห่งความดี ความมีเมตตา หรืออำนาจระดับสูงอย่างอำนาจของพระรัตนตรัย
ภาพปฏิบัติคือการเน้นไปที่ชุมชน หรือท้องถิ่น ใช้ความรัก ความเป็นมิตร ความมีไมตรีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันในการอยู่ร่วมกัน
หากคุณคิดว่าคุณสามารถอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ได้อย่างมีความสุขที่คุณอ่านมาข้างต้นก็คงไม่สำคัญ แต่หากชีวิตคุณยังต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ต้องพึ่งพาอาศัยกันทั้งทางตรงและทางอ้อม สายสัมพันธ์ในชุมชนเป็นเรื่องสำคัญยิ่งครับ ซึ่งสิ่งนี้สังคมบนโลกเสมือนทดแทนไม่ได้ ดังนั้นหากคุณอยากมีความสุขอย่างแท้จริง ไม่ตกเป็นทาสของการปกครองที่ใช้ความกลัว คุณก็ต้องทำตัวตรงข้ามกันคือใช้ความรักครับ
เพียงหนึ่งยิ้มทักทาย สวัสดีกันฉันท์เพื่อนของคุณที่มีต่อผู้อื่น เท่านี้ก็เท่ากับการจุดประกายสุขขึ้นในพื้นที่แล้วครับ ปีใหม่นี้ผมจึงอยากจะชวนทุกท่านให้ของขวัญตัวเองและสังคมกันด้วยการกระทำง่ายๆ เพียงยิ้มทักทายกันด้วยมิตรไมตรี
“วันนี้คุณยิ้มทักทายเพื่อนบ้านหรือยังครับ ?”


