เปิดฟ้านากาแลนด์ กับ Hornbill Festival
เมื่อต้นเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยคำเชิญของรัฐนากาแลนด์และท่านทูตธราดล ทองเรือง
เมื่อต้นเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยคำเชิญของรัฐนากาแลนด์และท่านทูตธราดล ทองเรือง
โดย...ดร.อภิชาติ ดำดี
เมื่อต้นเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยคำเชิญของรัฐนากาแลนด์และท่านทูตธราดล ทองเรือง อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายพาณิชย์ของประเทศไทยประจำกรุงนิวเดลี ผมและคณะได้เดินทางไปร่วมงาน “Hornbill Festival” ซึ่งเป็นงานใหญ่ประจำปีของรัฐนากาแลนด์ ประเทศอินเดีย นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้ทำความรู้จักกับนากาแลนด์ ดินแดนที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก และสื่อมวลชนมักให้ฉายาว่าเป็น “แผ่นดินที่โลกลืม” ผมได้มีโอกาสซึมซับประสบการณ์และความทรงจำดีๆ จากดินแดนพิเศษอย่างนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะนำมาถ่ายทอดให้กับท่านผู้อ่านเป็นอาหารใจจานพิเศษส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ในโอกาสนี้
เริ่มต้นคงต้องฉายภาพรวมให้เห็นก่อนว่า รัฐนาคาแลนด์ หรือนากาแลนด์ (Nagaland) เป็นรัฐหนึ่งในจำนวน 28 รัฐของประเทศอินเดีย เป็นหนึ่งในรัฐที่เรียกรวมกันว่ารัฐ 7 สาวน้อยของอินเดียด้านตะวันออกเฉียงเหนือ (Seven Sister States of North East India) ทิศตะวันออกติดกับประเทศพม่า ทิศตะวันตกติดกับรัฐอัสสัม ทิศเหนือติดกับรัฐอรุณาจัลประเทศ ทิศใต้ติดกับรัฐมณีปุระ นากาแลนด์มีพื้นที่ 16,579 ตารางกิโลเมตร มีประชากรประมาณ 2 ล้านคน ประกอบด้วยชนเผ่าต่างๆ 16 เผ่า ชนเผ่าเหล่านี้มีชาติพันธุ์ ภาษา ประเพณี วัฒนธรรม แตกต่างจากชาวอินเดียที่เราคุ้นเคย
ชาวนากาแลนด์มีรูปร่างหน้าตาและอุปนิสัยใจคอคล้ายคนไทย เป็นพวกมองโกลอยด์ มีข้อสันนิษฐานว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่อพยพมาจากทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ส่วนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ก็ใกล้เคียงกับบ้านเรา คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ (คริสเตียน) นับตั้งแต่มิชชันนารีคณะอเมริกันแบ๊บติสต์เข้าไปเผยแพร่เมื่อ 160 ปีที่แล้ว นากาแลนด์จึงเป็นอินเดียที่ไม่เหมือนอินเดีย ป้ายโฆษณาที่นั่นบ่งบอกถึงความเป็นนากาแลนด์ด้วยคำว่า “Incredible India”
“Hornbill Festival” เป็นงานมหกรรมวัฒนธรรมประจำรัฐที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชาวนากาแลนด์ จัดขึ้นเป็นประจำระหว่างวันที่ 1-7 ธ.ค.ของทุกปี (วันที่ 1 ธ.ค.เป็นวันก่อตั้งรัฐนากาแลนด์) ชื่องานนี้แปลตรงตัวว่า “เทศกาลนกเงือก” (Hornbill–นกเงือก) ตามคติความเชื่อของชาวนากาแลนด์ถือว่านกเงือกเป็นสัญลักษณ์แห่ง “ความตื่นตัวและความสง่างาม” อันสูงค่าน่ายกย่อง การแต่งกายของชนเผ่าต่างๆ จึงมักใช้ขนนกเงือกเป็นเครื่องประดับบนศีรษะ การชุมนุมใหญ่ของทั้ง 16 เผ่าที่ทั่วทั้งงานพราวไสวไปด้วยขนนกเงือก จึงเป็นที่มาของชื่อเทศกาล “Hornbill Festival” ด้วยประการฉะนี้
สถานที่จัดงานนี้อยู่บนเนินเขาในเขต Kisama ห่างจาก Kohima ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐนากาแลนด์ประมาณ 10 กม. เรียกว่า “หมู่บ้านมรดกนากา” (Naga Heritage Village) ทุกๆ ปีชาวนากาแลนด์ทั้ง 16 เผ่าจะมารวมตัวกันในงานนี้ เพื่อร่วมกันแสดงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของแต่ละชนเผ่า มีให้ชมในทุกด้านทั้งบ้าน อาหารการกิน การแต่งกาย การเต้นรำ การร้องเพลง การแข่งขันกีฬาพื้นบ้าน รวมทั้งการแสดงสินค้าแบบ OTOP บ้านเรา ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นงานหัตถกรรมจากไม้ไผ่ หวายและผ้าทอพื้นเมือง
ด้วยความร่วมแรงร่วมใจกันของรัฐบาล ชุมชนท้องถิ่น องค์กรพัฒนาภาคเอกชน (NGO) ที่มุ่งมั่นจะรักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมของแต่ละชนเผ่าที่มีความหลากหลายและมีเอกลักษณ์อย่างหาดูได้ยาก งานนี้จึงเติบใหญ่ขยายผลเป็นที่รู้จักมากขึ้นทุกปี เป็นความภาคภูมิใจของชาวนากาแลนด์ และเป็นเทศกาลสำคัญที่ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐนากาแลนด์อย่างได้ผล
ใครได้มาร่วมงาน “Hornbill Festival” ซึ่งมีคำขวัญของงานว่าเป็น “Festival of Festivals” เหมือนได้มาเที่ยวงานแบบ “One Stop Services” คือ “มาจุดเดียว ได้เที่ยวครบ” ทั้ง 16 เผ่าของนากาแลนด์ ไม่เพียงเท่านั้นใน 7 วันของเทศกาลนี้ ก็มีบางวันที่เป็นโชว์การแสดงจากรัฐ 7 สาวน้อยของอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือ (นอกจากนากาแลนด์แล้วก็มีรัฐอัสสัม มณีปุระ อรุณาจัลประเทศ เมฆกัลยา มิโซรัม ตรีปุระ) ผมและชาวคณะเดินทางไปวันแรกถึงงานช้าไปหน่อย เลยพลาดชมการแสดงในพิธีเปิดงานวันที่ 1 แต่วันที่ 2 ยังโชคดีที่เป็นรายการ North East Day ของศูนย์วัฒนธรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (NEZCC : North East Zone Cultural Centre) เลยได้ชมการแสดงจากทั้ง 7 รัฐแบบจัดเต็ม
นากาแลนด์เป็นดินแดนที่ตั้งอยู่บนจะงอยทางภาคอีสานของอินเดีย มีอากาศหนาวจัด ต่ำกว่า 10 องศาในเวลากลางคืน สว่างเร็วมืดเร็ว เพียง 34 โมงเย็นฟ้าก็มืดหมดแล้ว ส่วนการเดินทางกว่าจะไปถึงที่หมายก็ต้องใช้เวลาพอสมควร
คณะของผมเริ่มต้นบินจากกรุงเทพฯ ไปกัลกัตตา (Kolkata) แล้วบินต่อไปโกฮาตี (Guwahati) เมืองหลวงของรัฐอัสสัม ซึ่งเป็น Hub สำหรับเดินทางไปยังรัฐต่างๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากนั้นเดินทางต่อไป Dimapur เมืองเศรษฐกิจสำคัญของนากาแลนด์ (ถ้าหาได้เส้นทางบินที่ลัดตรงกว่านี้ คือเที่ยวบินจาก Kolkata มา Dimapur โดยตรง) จาก Dimapur ไป Kohima ต้องนั่งรถไปเท่านั้น ระยะทาง 70 กม. ใช้เวลาประมาณ 3 ชม. เพราะเป็นเส้นทางที่ต้องขึ้นเขาคดเคี้ยวคล้ายๆ กับเส้นทางเชียงใหม่ปายในบ้านเรา
ด้วยสีสันอันหลากหลายของ “เสื้อหลากสี” ทั้ง 16 เผ่าที่มารวมกันเป็นหนึ่งเดียวในงานนี้ (Unity in Diversity) ประกอบกับความเป็นดินแดนลึกลับบนภูเขาที่ชวนให้ค้นหา จึงเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกหลั่งไหลมาเยือนนากาแลนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาล “Hornbill Festival” ซึ่งปีนี้ประมาณการว่าเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 2 หมื่นคน
แม้เป็นรัฐเล็กๆ อยู่ชายขอบของอินเดีย แต่สิ่งหนึ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ชาวบ้านอย่างผมได้เรียนรู้จากนากาแลนด์ก็คือ การบริหารจัดการความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างเป็นระบบ แล้วนำมาใช้เป็น “ทุนทางวัฒนธรรม” ในการผลิตสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจให้กับชุมชน และนากาแลนด์ก็ทำได้ประสบความสำเร็จไม่น้อยเลยทีเดียว
อีกมุมมองหนึ่งก็คือ โดยสภาพที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ นากาแลนด์มีความเหมาะสมที่จะเป็นประตูเชื่อมโยงอินเดียกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ซึ่งมีพม่าและประเทศไทยที่อยู่ถัดไปเป็นจุดเชื่อมโยง หากอินเดียและอาเซียนร่วมมือกันพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมให้กับประตูนี้ ก็ย่อมเป็นผลดีต่อการซื้อขายแลกเปลี่ยนทางการค้า และการเดินทางไปมาหาสู่ของผู้คนในภูมิภาคนี้
เพราะโลกยุคใหม่...ความสัมพันธ์อันดีของมนุษยชาติไม่อาจขวางกั้นไว้ได้ด้วยพรมแดนใดๆ ไม่ว่าใกล้หรือไกลสุดขอบฟ้าอย่างนากาแลนด์ “แผ่นดินที่โลกต้องเหลียวมอง”


