พระราชวังโปตาลา
โดย...ปู โลกเบี้ยว
โดย...ปู โลกเบี้ยว
“ดินแดนแห่งพระธรรม” เขตปกครองตนเองทิเบต เป็นดินแดนที่มีความรุ่งเรืองทางศาสนา หลักๆ คนที่นี่เขาจะนับถือลัทธิเต๋า ลามะ (พุทธ) และอิสลาม ทิเบตเป็นที่ราบสูงที่สูงที่สุดในโลก จึงได้ฉายาว่าเป็นหลังคาโลก มีเมืองหลวงคือ ลาซา ทิเบตมีพื้นที่ 1 ใน 8 ของประเทศจีน สมัยก่อนเวลาจะเข้าไปเที่ยวที่ทิเบตแค่ขอวีซ่าจีนก็พอแล้ว แต่ปัจจุบันต้องขอวีซ่าทิเบตด้วยนะจ๊ะ เพื่อการันตีว่าเมื่อเข้าไปในบ้านเมืองของเขาแล้วจะไม่ไปสร้างปัญหาให้กับพวกเขานั่นเอง อย่างเวลาเจอพวกตำรวจทหารต้องไม่หันกล้องไปเผลอถ่ายรูปพวกเขาเด็ดขาดเลย เพราะมีโอกาสโดนยึดเอาได้ง่ายๆ น่ะสิ ส่วนใครที่คิดว่ามาทิเบตจะได้เห็นภูเขาหรือได้สัมผัสกับความเป็นอยู่ของชาวทิเบตแบบในหนัง “ชัมบาลา” หรืออยากเห็นอารยะธรรมเก่าแก่มากๆ ล่ะก็ผิดหวังแน่ บรรยากาศแบบนั้นน่ะ ต้องไปไกลจากเมืองอีกเป็นร้อยกิโลเมตร ส่วนในเมืองลาซานั้นค่อนข้างเจริญเอามากๆ เขาสรรหาต้นไม้มาปลูกเพื่อเพิ่มออกซิเจนตามทางร้านค้าขายเสื้อผ้าในเมืองยังเปิดเพลง “Gangnam Style” เลยอ่ะ ทันสมัยมั๊ยล่ะ?
หลังจากที่บินจากจีนเข้าสู่ลาซาเขตปกครองตนเองทิเบต ฝ่าฟันกับแรงกดดันของอากาศ ตั้งแต่ตอนเย็นที่มาถึง ไม่กล้าอาบน้ำตามที่ไกด์อาเปาแนะนำ ยันเช้ายอมเน่าอีกวัน เอ๊า...! ดีกว่าไม่สบายนะ เพราะแค่เนี้ยเลือดกำเดาก็ขยันไหลและหายใจไม่คล่องอยู่แล้ว ขืนไม่สบายน้ำมูกไหลขึ้นมาอีกล่ะก็แย่แน่เลย ผ่านช่วงกลางคืนที่แสนทรมานเพราะอาการนอนไม่หลับ ผุดลุกผุดนั่งเพราะเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว พอตื่นขึ้นมาก็จะไม่สามารถนอนหลับต่อได้อีกเลย ต้องค่อยๆ เดินไปที่หน้าต่างเพื่อสูดอากาศให้ได้มากที่สุด ทั้งๆ ที่ในห้องก็เปิดแอร์แต่มันก็ยังรู้สึกอึดอัด เมื่อได้อากาศเย็นๆ จากภายนอกอาคารแล้วกลับมายังที่นอนก็ยังไม่สามารถที่จะนอนหลับได้นะจ๊ะ เพราะมันปวดหัวจี๊ดๆ อยู่ตลอดเวลา ต้องพยายามสวดมนต์ทำใจให้สงบจนหลับไป เป็นเยี่ยงนี้ทั้งคืน ตอนแรกคิดว่าบ้าเป็นคนเดียว โอ๊ย...! พอเจอเพื่อนๆ เท่านั้นแหละถึงรู้ว่าเรามีอาการเมาที่ราบสูงน้อยมาก เพราะหลายคนที่นอกจากเป็นเหมือนเราแล้วยังวิ่งอาเจียนและถ่ายท้องตลอดทั้งคืนอีกด้วยอ่ะ ตอนเช้าได้กินข้าวต้มร้อนๆ กับเต้าหู้ยี้แสนอร่อยก็สบายตัวขึ้น
แล้วเราก็ได้ไปเยี่ยมชมพระราชวังโปตาลา เดี๋ยวจะมาไม่ถึงทิเบต อีกหนึ่งมรดกโลกเชียวนะ เป็นทั้งพิพิธภัณฑ์และสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ ขนาดคนทิเบตเองไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนยังต้องมุ่งมั่นมาให้ได้ครั้งหนึ่งในชีวิตเลยอ่ะ พระราชวังนี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 ตั้งอยู่บนเขาแดง สมัยพระเจ้าชงเชน กัมโป ได้ทรงสร้างเพื่อต้อนรับพระมเหสีจากจีนและเพื่อให้พระองค์ได้รับความสะดวกสบายเมื่อทรงอยู่ที่ทิเบต เป็นการเจาะภูเขาหินให้เป็นห้องๆ ชั้นๆ มีถึง 13 ชั้น 999 ห้องด้วยกัน ส่วนใหญ่ก็เป็นห้องเล็กๆ เพดานต่ำๆ เนี้ยแหละ ในแต่ละห้องก็จะมีพระพุทธรูปและรูปเคารพต่างๆ เป็นแสนๆ รูปอ่ะ มีสถูปเก็บพระธาตุของท่านดาไลลามะต่างๆ ตั้งแต่องค์ที่ 113 จะมีพระลามะคอยดูแลอยู่เป็นจุดๆ เพื่อดูแลการจุดไฟสำหรับสักการะ จะมีชาวบ้านคอยเอาไขของตัวจามรีและน้ำมันมาเติมในอ่างที่ติดไฟ เวลาเดินชมต้องเดินกันเป็นแถวต่อๆ กันเพื่อความเป็นระเบียบ เพราะผู้คนมากมายเหลือเกินไม่งั้นทุกคนคงกรูกันเข้าไป ขนาดเป็นวันธรรมดาไม่ใช่วันหยุด แทบจะไม่ได้เดินอ่ะ เหมือนเบียดกันไหลๆ ไป มีห้องซับซ้อนมากมาย เดี๋ยวบันไดไม้บ้างเดี๋ยวบันไดหินบ้าง ชันๆ ทั้งนั้น เหนื่อยก็เหนื่อย หายใจก็ไม่ค่อยคล่อง ทั้งกลิ่นธูปกลิ่นไขของตัวจามรี แต่ห้ามเอามือปิดปากปิดจมูกเดินนะคะ เพราะจะเป็นการไม่เคารพสถานที่น่ะสิ ในเมื่อขึ้นมาแล้วต้องเดินต่อเพราะต้องลงอีกทาง มีช็อตหนึ่งเล่นเอาหายเหนื่อยเลยล่ะ ก็ตอนที่เห็นเงินแบงก์ร้อยที่เขาโชว์รูปในหลวงของเราในตู้กระจกอ่ะ ปลื้มมม
พระราชวังโปตาลานี้ได้กลายเป็นที่ประทับในยามฤดูหนาวของท่านดาไลลามะตั้งแต่องค์ที่ 5 เป็นต้นมาจนถึงองค์ปัจจุบัน คือ องค์ที่ 14 แต่ปัจจุบันไม่มีท่านประทับอยู่แล้วเพราะท่านลี้ภัยไปแล้ว เลยกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ พระราชวังโปตาลานี้หลังจากเกิดสงครามก็ถูกทิ้งร้างมาเกือบ 800 ปี ท่านดาไลลามะองค์ที่ 5 ก็ได้ทรงบูรณะและจัดการรวมเอาศาสนาและการเมืองมาเป็นหนึ่งเดียวกัน แบ่งออกเป็นวังสีขาวและวังสีแดง สีขาวเป็นสถานที่ราชการ ส่วนวังแดงก็เป็นสถานที่สักการะ เวลาที่เราเดินขึ้นไปปูสังเกตเห็นจึงถามเลยว่า สีแดงๆ ที่เราเห็นอ่ะไม่ใช่หินสีทั้งหมดนะจ๊ะ เป็นฟางข้าวสลับหินจร้าาา เพราะถ้าใช้หินสร้างทั้งหมดมันจะหนักและหนาว จึงต้องมีฟางข้าวสลับบ้างอ่ะ ส่วนผ้าม่านสีดำๆ ที่เราเห็นนั้นคือขนของเจ้าตัวจามรีที่สามารถทนแดดทนฝนอยู่ได้ยาวนานค่ะ เดินชมพระราชวังเล่นเอาหมดไปครึ่งค่อนวัน คือ มันเดินเร็วก็ไม่ได้ไง ต้องค่อยๆ น่ะสิ อ้าว...! คงต้องเล่าต่อฉบับหน้าแล้วล่ะค่ะ


