คีตา วงศ์กิตติพัฒน์ ดนตรีนั้นคือชีวิต
น้องโฟมคีตา วงศ์กิตติพัฒน์ สาวสวยหุ่นดีผู้มีดนตรีในหัวใจ เธอมีวัยเพียง 24 ปี จบปริญญาตรีจากคณะศิลปกรรม เอกเปียโน
โดย...อณุศรา ทองอุไร ภาพ ภัทรชัย ปรีชาพานิช
น้องโฟมคีตา วงศ์กิตติพัฒน์ สาวสวยหุ่นดีผู้มีดนตรีในหัวใจ เธอมีวัยเพียง 24 ปี จบปริญญาตรีจากคณะศิลปกรรม เอกเปียโน (แถมยังได้เกียรตินิยมซะด้วย) ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วก็ไปต่อปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษทางด้านดนตรีแจ๊ซ เรียนจบกลับมาได้ไม่ถึงปี น้องโฟมก็ได้ทำงานประจำอยู่ที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์บริษัท บัตรกรุงไทย รับผิดชอบงานทางด้านเว็บไซต์ ดูเฟซบุ๊กของบัตรเครดิต เวลาบัตรมีโปรโมชันอะไร มีอะไรน่าสนใจ จะมีการสื่อสารกับลูกค้าผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก
“เพิ่งมาทำงานได้ไม่กี่เดือนเองค่ะ ก็ต้องเรียนรู้ต้องปรับตัวอะไรหลายอย่าง เพราะนี่คือที่ทำงานแห่งแรกของโฟม ทุกอย่างแปลกใหม่ชวนให้เรียนรู้สนุกกับงานมาก แล้วงานก็ไม่ได้นั่งประจำอยู่แต่ออฟฟิศ มีอีเวนต์มีกิจกรรมให้ออกบ่อยก็สนุกดีค่ะ พี่ๆ ก็น่ารัก ทุกคนให้โอกาสเราได้ลองทำโน่นนี่นั่นเต็มที่ไม่มีสกัดดาวรุ่ง” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มละไม
ขอบอกว่าน้องโฟมไม่ได้มีดีที่หุ่นดีหน้าตาสวยเท่านั้น แต่ดีกรีเรื่องดนตรีน้องก็สามารถมากค่ะ เพราะตั้งแต่เรียนอยู่จุฬาฯ ปี 1 น้องก็ทำดนตรี มีอัลบั้มร่วมกับพี่ๆ ที่มีชื่อเสียง ทำเพลงในชุด HM บลู (เอาเพลงพระราชนิพนธ์ของในหลวงมาทำดนตรีใหม่) โดยน้องทำหน้าที่เรียบเรียงเสียงประสานที่มีอายุน้อยที่สุด หลังจากนั้นก็มีงานดนตรีมาเรื่อยๆ ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังมาเรื่อยๆ อีก 45 ชุด เคยมีอัลบั้มกับแกรมมี่โดยการเอาเพลงเก่ามาเรียบเรียงใหม่แนวป๊อปแจ๊ซ ก่อนไปอังกฤษก็เคยออกอัลบั้มเดี่ยวมา 1 ชุด ชื่อ โฟม เดอะ ดิฟเฟอเรนซ์
นอกจากนั้น ตอนนี้น้องโฟมยังมีงานอดิเรกเป็นนักแต่งเพลงให้กับบริษัท แกรมมี่ฯ อีกด้วย น้องโฟมบอกว่า “ดนตรีมันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของหนูไปแล้ว ไม่ว่าหนูจะทำงานอะไร ก็ต้องมีมุมดนตรีซ่อนไว้ในใจอยู่เสมอ มันเป็นความสุขเป็นของหวานในชีวิตที่ขาดไม่ได้ ไม่อยากทิ้ง ต้องฝึกปรืออยู่เรื่อยๆ”
ดังนั้น ทุกวันหยุดน้องโฟมจึงมีงานอดิเรกด้วยการสอนเปียโน ให้กับเด็กๆ ที่โรงเรียนสอนดนตรีแห่งหนึ่ง หรือวันหยุดอื่นๆ ก็อาจจะมีรับงานอีเวนต์ไปเล่นเปียโนบ้างเป็นครั้งคราว เพราะเธอเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับเปียโนยามาฮ่าอีกด้วย ก็น้องเล่นเปียโนมาตั้งแต่อายุ 4 ขวบ
อนาคตน้องโฟมจึงอยากมีโรงเรียนสอนดนตรีเล็กๆ เป็นของตนเอง “คงอีกหลายปีล่ะค่ะ ตอนนี้ต้องทำงานเก็บเงินและหาประสบการณ์ไปก่อน หน้าที่หลักตอนนี้คือทำงานประจำของเราให้ดีที่สุด งานประจำต้องมีระเบียบวินัย ตรงเวลา ต้องทุ่มเทใส่ใจ รวมทั้งการสื่อสารการวางตัวกับผู้อื่นล้วนเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจทั้งสิ้น
หลักการทำงาน ก็คือต้องรับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด เปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ อย่ากลัวที่จะเริ่มลองอะไรใหม่ๆ และให้เกียรติเพื่อนร่วมงาน อะไรที่เราไม่ชอบอย่าไปทำกับคนอื่น” เธอ กล่าวทิ้งท้าย
5 ชิ้นที่มีความหมายในชีวิต...
1. คุณพ่อ (ศุภชัย) คุณแม่ (ณัฐศมน) ... ท่านเป็นผู้ที่ให้ชีวิตให้โอกาส สนับสนุนทุกอย่างที่ลูกชอบ คุณพ่อตอนหนุ่มๆ ก็เป็นนักดนตรีอยู่วงเอเวอร์เรส เล่นที่โรงแรมมณเฑียร เมื่อลูกชอบอยากเรียนดนตรีท่านก็สนับสนุน ส่วนคุณแม่ทำงานด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ ทั้งคุณพ่อและคุณแม่เป็นไอดอลของหนู เป็นผู้ใหญ่ที่เข้าใจลูกมาก เพราะท่านหนูจึงมีวันนี้
2. เปียโนฉบับกระเป๋า... เพราะดนตรีเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตไปแล้ว หนูจึงมีเปียโนแบบพกพา ไปไหนก็มักจะเอาไปด้วยตลอด เผื่อว่างๆ คิดเพลงได้ก็เอาเปียโนมาลองเล่นไล่เสียงดู ไปงานอีเวนต์อะไรเอาเปียโนใหญ่ไปไม่ได้ก็เอาอันเล็กไปเล่นโชว์ คนอื่นพกคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก หนูมีแถมพกเปียโนด้วยอีกชิ้นหนึ่ง
3. นาฬิกา... ยี่ห้อเฟอร์รากาโม่ คุณพ่อซื้อให้เป็นของขวัญตอนได้งานทำ ให้หนูไปเลือกเองคุณพ่อไปจ่ายเงิน เพื่อเป็นกำลังใจให้ เป็นเครื่องสะท้อนว่าเราทำงานแล้วต้องมีวินัย ต้องตรงเวลา รับผิดชอบงานให้ดี นาฬิกาแพงก็บริหารเวลาให้ดีให้สมราคา
4. โทรศัพท์ไอโฟน... เป็นสมาร์ตโฟนที่มีฟังก์ชันการใช้งานแบบครบวงจร เรียกว่าเป็นแก้วสารพัดนึกจะใช้อะไรมีหมด เพื่อการบันเทิง เพื่องาน ครบวงจรเครื่องเดียวอยู่จัดการได้ครบ
5. สมุดโน้ตติดกระเป๋า... แม้เทคโนโลยีจะก้าวไกลไปเพียงใด เรื่องพื้นๆ แต่คลาสสิกอย่างการจดช่วยจำลงสมุดโน้ต สำหรับหนูยังถือว่าจำเป็น มันเป็นเสน่ห์ ได้ผ่านทั้งมือผ่านทั้งตา ไม่งั้นใช้แต่คอมพิวเตอร์แทบจะไม่ได้หยิบปากกามาจดอะไรเลย ต้องเขียนบ่อยๆ ฝึกลายมือไปด้วย


