posttoday

พาราเซตามอล ยาอันตรายหากใช้ไม่ถูกวิธี

30 ตุลาคม 2555

โดย...มัลลิกา นามสง่า

โดย...มัลลิกา นามสง่า

เมื่อเกิดอาการ “ปวดหัว” ยาที่หลายคนนึกถึง คือ “พาราเซตามอล” ยาแก้ปวดและลดไข้ที่คนไทยนิยมใช้กันมากที่สุด ซึ่งถูกจัดให้อยู่ในหมวดยาสามัญประจำบ้านด้วย แต่ถึงแม้จะอยู่ในหมวดติดบ้านหารับประทานคล่อง ทว่าแท้จริงแล้วพาราเซตามอลมีผลข้างเคียงที่อันตรายที่สุด คือ การเกิดพิษต่อตับ และ เกิดภาวะตับวาย หากใช้เกินขนาด หรือใช้ติดต่อกันนานเกินไป

พญ.ประพิมพ์พร ฉันทวศินกุล แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ และโภชนบำบัด โรงพยาบาลบีเอ็นเอช กล่าวว่า เมื่อปี 2554 องค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐ (U.S.Food and Drug Administration หรือ USFDA) ได้ออกประกาศให้บริษัทยา ที่ผลิตยาแก้ปวดสูตรผสมที่มีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบ ให้ลดปริมาณยาพาราเซตามอลลงจากเดิม จากขนาด 500 มิลลิกรัมต่อเม็ดเป็น 325 มิลลิกรัมต่อเม็ด เพื่อลดความเสี่ยงของผู้บริโภคในการที่จะได้รับปริมาณยาพาราเซตามอลเกินขนาด และลดความเสี่ยงที่จะเกิดพิษต่อตับ

นอกจากนี้ ยังได้กำหนดให้ระบุถึงผลข้างเคียงของยาพาราเซตามอล ที่ฉลากยาให้ชัดเจนว่า ยามีผลทำให้เกิดพิษต่อตับอย่างรุนแรงได้ นอกเหนือจากผลข้างเคียงอื่นที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น อาการแพ้ยาหรือผื่นคัน

“ในฉลากยาติดไว้ที่ขวดยา เขียนไว้ว่า รับประทานครั้งละ 12 เม็ด ทุก 4 ชั่วโมง ซึ่งเป็นจำนวนที่ผิดและก่อให้เกิดอันตราย เพราะถ้าผู้ป่วยปวดหัวมากๆ แล้วกินตามที่บอก วันหนึ่งต้องกิน 12 เม็ด ก็อันตรายแล้ว และถ้ากินต่อกัน 34 วัน ก็เกิดพิษต่อตับ ซึ่งตรงนี้ขนาดอเมริกายังลดโดสลงแล้ว แต่ของไทยยังต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ ซึ่งจริงๆ เราต้องบอกว่า ให้กินทุก 6 ชั่วโมง เป็นเวลาสั้นๆ และกินภายใต้การควบคุมของแพทย์” พญ.ประพิมพ์พร กล่าว

พาราเซตามอล ยาอันตรายหากใช้ไม่ถูกวิธี

 

ใช้ยาต่อเนื่องเสี่ยงอันตราย

การรับประทานยาพาราเซตามอลเกินขนาด เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดตับอักเสบเฉียบพลัน และเกิดภาวะตับวาย ซึ่งอาการอาจรุนแรงถึงขั้นต้องได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนตับ หรือเสียชีวิต หากไปรับการรักษาไม่ทันท่วงที ผู้ป่วยกลุ่มที่เกิดภาวะเป็นพิษต่อตับ พบได้บ่อยในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการปวดเรื้อรัง ซึ่งผู้ป่วยส่วนหนึ่งไม่ทราบว่ากำลังทำร้ายตัวเองด้วยการรับประทานยาแก้ปวด ที่มีผลทำร้ายตับต่อเนื่องเป็นเวลานาน แม้ว่าจะรับประทานไม่เกินขนาดที่กำหนด แต่ถ้ารับประทานต่อเนื่องเป็นเวลานาน ก็มีโอกาสที่จะเกิดตับอักเสบได้เช่นเดียวกัน ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะไปรับการรักษาช้า เนื่องจากไม่ตระหนักถึงพิษภัยที่อาจเกิดขึ้นได้จากการรับประทานยาพาราเซตามอลเป็นเวลานาน

สำหรับผู้ป่วยที่มีโรคตับเรื้อรัง ตับแข็ง หรือดื่มสุราเป็นประจำจะมีความเสี่ยงในการเกิดพิษต่อตับง่ายกว่าคนปกติ จึงควรงดเว้นการรับประทานพาราเซตามอล หรือหากจำเป็นจริงๆ ก็ควรรับประทานให้น้อยที่สุด

“จริงๆ พาราเซตามอลเป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัย ป่วยแล้วกิน ครั้งสองครั้งไม่เป็นไร แต่ผู้ป่วยบางรายเวลากินจะกินติดต่อกันนานๆ ซึ่งก็ส่งผลอันตราย อีกอย่างยาพาราเซตามอลเป็นยาที่คนไทยคุ้นเคย มีติดบ้าน บางคนซื้อไม่ได้ซื้อมาแค่ 10 เม็ด แต่ซื้อที่เป็นกระปุก 100 เม็ด เวลาปวดอะไรก็แล้วแต่ก็หยิบมากินบรรเทาอาการ บางคนกินกันไว้ก่อนก็มี เพราะความเข้าใจผิดคิดว่ายาพาราเซตามอลแก้ปวดได้ทุกอย่าง เป็นการใช้ยาที่ไม่ถูกต้อง

บางคนกินแล้วหายปวดก็บอกว่า กินแล้วดี ซึ่งจริงๆ บางอาการนั้นสามารถหายเองได้ ไม่ใช่เพราะยาพาราเซตามอลทำให้ดีขึ้น และยาพาราเซตามอลก็ไม่ได้แก้ทุกอาการปวด อย่างปวดท้อง ท้องเสีย ลำไส้บิด ตัวเราต้องกินยาลดการบิดตัว และแพทย์จะให้ยาแก้ปวดท้องอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่พาราเซตามอล

เราต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการกินยาพาราเซตามอล และแก้ความคิด พาราเซตามอลไม่ใช่ยาวิเศษ กินปุ๊บแก้ปวด เวียนหัวจังเลย ปวดท้อง หาพาราเซตามอลมากิน มันไม่ถูก ต้องเปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่”

ข้อระวัง! ในการรับประทานยา

ใครที่มีพฤติกรรมปวดหัวแล้วรีบคว้ายาเข้าปากทีละเม็ด 2 เม็ด ปวดหนักหน่อยก็คว้า 2 เม็ด โดยไม่เท่าทันระวังผลข้างเคียง หรือรับประทานถี่เกินไปเพื่อหวังอาการจะบรรเทา แต่การรับประทานยาพาราเซตามอล ที่ถูกต้องนั้นต้องไม่รับประทานเป็นประจำต่อเนื่องเป็นเวลานาน และไม่ควรรับประทานยาพาราเซตามอลเกินวันละ 4 กรัม ซึ่งยาในบ้านเรานั้นอยู่ในรูปแบบเม็ด มีปริมาณยาเม็ดละ 500 มิลลิกรัม ดังนั้นปริมาณที่สามารถรับประทานได้คือ “ไม่เกิน 8 เม็ดต่อวัน” และ “ไม่เกิน 12 เม็ดต่อครั้ง”

อีกหนึ่งอย่างที่ ควรรู้ คือ ผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 50 กิโลกรัม ควรรับประทานพาราเซตามอลครั้งละ 1 เม็ดเท่านั้น

ดังนั้น ความคิดในการรับประทานยา ที่ว่า เด็ก 1 เม็ด ผู้ใหญ่ 2 เม็ด ปวดน้อย 1 เม็ด ปวดมาก 2 เม็ด ผิด!!!

นอกจากนี้ ไม่ควรดื่มสุรา หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม ขณะที่รับประทานยาพาราเซตามอล

ข้อควรระวังอีกอย่างคือ มียาสูตรผสมเป็นจำนวนมากที่มีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบ เช่น ยาแก้ไข้หวัด ยาแก้ปวดเมื่อย ยาคลายกล้ามเนื้อ ซึ่งยาสูตรผสมเหล่านี้หากนำมารับประทานร่วมกันโดยไม่ทราบว่ามีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบ เช่น รับประทานยาแก้ไข้หวัดพร้อมๆ กับยาคลายกล้ามเนื้อ จะทำให้ได้รับยาเกินขนาดและเกิดตับอักเสบหรือตับวายเฉียบพลันได้ ดังนั้นก่อนรับประทานยาทุกชนิดจึงควรอ่านฉลากยาให้ละเอียดเสมอ ถ้าไม่แน่ใจว่ายามีส่วนประกอบของพาราเซตามอลหรือไม่ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนบริโภคยาทุกครั้ง

“คนเข้าใจผิดว่ายาพาราเซตามอลปลอดภัย เพราะเทียบกับแอสไพรินที่เป็นยาแก้ปวด แต่มีผลข้างเคียงคือกัดกระเพาะ พาราเซตามอลจึงถูกใช้เยอะ และใช้นาน พาราเซตามอลยังเป็นยาสามัญประจำบ้าน แต่หมอคิดว่าน่าจะมีกระบวนการที่ออกมาให้ประชาชนเข้าใจว่า ยาสามัญประจำบ้านก็ใช้ได้อย่างจำกัด ท้ายสุดเราไม่รู้ว่าเราปวดอะไร เป็นเพราะอะไร ให้ไปพบแพทย์กินยาให้ตรงโรคดีกว่า” พญ.ประพิมพ์พร กล่าว

แม้ว่ายาพาราเซตามอลจะเป็นยาแก้ปวดลดไข้ที่มีประโยชน์ แต่หากใช้ผิดวิธีก็อาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ จึงต้องระมัดระวังในการใช้ยา และหากอาการไม่ดีขึ้นหลังรับประทานยาควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุเสมอ

ข่าวล่าสุด

บอลวันนี้ ดูบอลสด ถ่ายทอดสด โปรแกรมฟุตบอล วันอังคารที่ 16 ธ.ค. 68