ประเทศไทยและอนาคตทะเลโลก
ในปัจจุบันอุตสาหกรรมปลาทูน่ากระป๋องถือเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่สำสัญของอุตสาหกรรมอาหารส่งออกของประเทศไทย
โดย...ศิรสา กันตรัตนากุล
ในปัจจุบันอุตสาหกรรมปลาทูน่ากระป๋องถือเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่สำสัญของอุตสาหกรรมอาหารส่งออกของประเทศไทย และยังเป็นตัวแสดงสำคัญในอุตสาหกรรมการผลิตทูน่ากระป๋องของโลก ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกปลาทูน่ากระป๋องอันดับ 1 ของโลกที่มีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 40 ของส่วนแบ่งตลาดโลก และมีการนำเข้าปลาทูน่าเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตมากกว่าร้อยละ 80 ของปลาทูน่าที่ใช้ในกระบวนการผลิตทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วต้องนำเข้าจากไต้หวัน อเมริกา เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และมัลดีฟส์ เป็นต้น เนื่องจากทะเลไทยไม่มีปลาทูน่าเหลือให้จับและธุรกิจการทำประมงของไทยเองยังมีศักยภาพในการจับปลาทูน่าได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในภาคอุตสาหกรรม
ประเทศไทยมีบริษัทข้ามชาติสัญชาติไทยผลิตปลาทูน่ากระป๋องรายใหญ่ของโลก คือ บริษัท Thai Union ที่เป็นผู้ผลิตปลาทูน่ากระป๋องส่งออกรายใหญ่ที่สุดของไทยและใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ผู้เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ Sealect ที่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในประเทศไทย หรือ Chicken of the Sea ที่เป็นชื่อผลิตภัณฑ์ปลาทูน่ากระป๋องที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ที่จำหน่ายในสหรัฐ หรือ John West ในประเทศอังกฤษ MW Brand ในยุโรป ซึ่งต่างเป็นยี่ห้อและบริษัทลูกของ Thai Union ด้วยกันทั้งสิ้น และในขณะเดียวกันอุตสาหกรรมปลาทูน่ากระป๋องนี้ยังก่อให้เกิดการจ้างงานในระบบการผลิตในประเทศไทยมากกว่า 3 หมื่นคน
ปริมาณการผลิตปลาทูน่ากระป๋องของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 เป็นต้นมา แต่ในปี พ.ศ. 2554 ปริมาณการผลิตปลาทูน่ากระป๋องกลับมีจำนวนลดลง ทั้งนี้อาจจะเกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน คือ ปริมาณปลาทูน่าในมหาสมุทรต่างๆ ลดลง การควบคุมปริมาณการจับปลาทูน่าในมหาสมุทรต่างๆ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ คณะกรรมาธิการปลาทูน่าแห่งมหาสมุทรอินเดีย (Indian Ocean Tuna Commission : IOTC) คณะกรรมาธิการประมงแห่งมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกตอนกลาง (Western Central Pacific Fisheries Commission : WCPTC) เป็นต้น หรือมาตรการต่างๆ ที่เกิดขึ้นมา เช่น IUU ประกอบกัน ทั้งนี้ปริมาณปลาทูน่าที่ลดลงประกอบกับราคาชื้อเพลิงที่ใช้เป็นต้นทุนในการออกไปจับปลาทูน่าและค่าแรงงานเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาปลาทูน่าในปัจจุบันเพิ่มสูงขึ้นจากเดิมมาก และเนื่องจากวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิต คือ ปลาทูน่า ต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศเป็นจำนวนกว่าร้อยละ 80 ของปลาทูน่าที่ใช้ในกระบวนการผลิตทั้งหมด อีกทั้งเกิดความผันผวนของราคาปลาทูน่า สถานการณ์จำนวนปลาทูน่าที่ลดลง ล้วนทำให้เกิดความไม่มีเสถียรภาพต่ออุตสาหกรรมทูน่ากระป๋องของไทยในปัจจุบัน
ปลาทูน่าเป็นแหล่งอาหารสำคัญมีคุณค่าทางด้านโภชนาการและมีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งถือเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตปลาทูน่ากระป๋อง จากสถิติในการจับปลาที่ลดลงในแต่ละปี ปลาทูน่าในส่วนต่างๆ ของโลกทั้งมหาสมุทรแปซิฟิก มหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแอตแลนติกที่เป็นแหล่งจับปลาทูน่าที่สำคัญ มีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ เนื่องจากเกิดการจับปลาเกินขนาดและทำลายล้าง หรือการจับปลาที่เกินกำลังการผลิตของทะเล (Overfishing) และสาเหตุอื่นๆ จึงส่งผลให้จำนวนปลาทูน่าที่จับได้ลดลงและราคาปลาทูน่ามีแนวโน้มแพงขึ้นเรื่อยๆ
อีกทั้งวิธีการและเครื่องมือที่ใช้อวนล้อม (Purse Seine) ในการจับปลาทูน่า ประกอบกับการใช้ทุ่น (Fish Aggregated Devices : FADs) ยังเป็นวิธีที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล อย่างเช่น ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการจับปลาทูน่าแบบอวนล้อมนี้ คือ การจับสัตว์น้ำพลอยได้ (Bycatch) ที่มาจากการใช้วิธีจับปลาทูน่าที่กล่าวไปข้างต้น ซึ่งทำให้การจับปลาทูน่าแต่ละครั้งได้สัตว์น้ำอื่นๆ และลูกปลาเศรษฐกิจอีกมากมายติดมาจำนวนมาก อีกทั้งขนาดของปลาที่จับได้นั้นมีขนาดที่เล็กไม่เป็นไปตามความต้องการ จึงส่งผลกระทบต่อปริมาณสัตว์เหล่านั้น อาทิ เต่าทะเล ซึ่งที่เป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์และเป็นสัตว์ที่อยู่ในอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (CITES) และยังมีปลาฉลาม ซึ่งเมื่อถูกจับได้อาจจะถูกตัดไปเพียงแค่ครีบเพื่อนำไปทำหูฉลามเพียงเท่านั้น หรือปลาโลมาเช่นกัน ซึ่งการตกปลาที่ไม่ยั่งยืนด้วยวิธีนี้ทำให้จำนวนของสัตว์ต่างๆ เหล่านั้นลดจำนวนลงอย่างมาก อีกทั้งเกิดความเสียหายต่อระบบนิเวศทางทะเลอย่างมากและยังทำลายเศรษฐกิจการประมงของเราเอง
อุตสาหกรรมปลาทูน่ากระป๋องของไทยมีส่วนอยู่มากในการทำลายระบบนิเวศทางทะเลทั่วโลก เนื่องจากวัตถุดิบที่นำมาใช้ในการผลิตนั้น ล้วนกระจายอยู่ทุกมหาสมุทรทั่วโลก และยังมีการจับปลาด้วยวิธีที่ไม่ยั่งยืนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งในส่วนนี้ผู้ประกอบการเองต้องตระหนักเป็นอย่างยิ่งถึงความยั่งยืนของแหล่งโปรตีนที่สำคัญของโลกที่กำลังลดลงอย่างมาก และควรหันมาให้ความสำคัญกับหลักการสากล อาทิ การป้องกัน ต่อต้าน และขจัดการประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม (Illegal Unreported and Unregulated : IUU) เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการใช้วัตถุดิบที่เกิดจากการจับอย่างผิดกฎหมาย และเพื่อให้ได้รับการรับรองจากหน่วยงานต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับการจัดการหรือควบคุมปริมาณการจับปลาทูน่า อาทิ IOTC และ WCPFC เป็นต้น เพื่อความยั่งยืนของปริมาณปลาทูน่าที่เป็นแหล่งโปรตีนสำคัญของโลก ไม่ใช่เพื่อเพียงการดำเนินธุรกิจเพียงเพื่อผลประโยชน์สูงสุดโดยไม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
ดังนั้น ผู้ประกอบการปลาทูน่ากระป๋องจึงควรหันมาให้ความสำคัญกับการนำเข้าปลาทูน่าที่จับจากการตกปลาด้วยวิธีที่ไม่ทำลายล้างและยั่งยืนมากกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งเป็นวิธีการที่เป็นมิตรกับระบบนิเวศทางทะเล เช่น การจับปลาทูน่าด้วยวิธี Pole and Line หรือการใช้อวนล้อมโดยไม่ใช้ทุ่น เพราะหากยังใช้ปลาทูน่าจากการจับแบบอวนล้อมและการใช้ทุ่นแบบเดิม แน่นอนว่าผู้ประกอบการปลาทูน่ากะป๋องนั้นยังมีส่วนช่วยส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการทำลายท้องทะเลทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง หากผู้ประกอบสามารถออกนโยบายเพื่อนำเข้าวัตถุดิบจากวิธีการจับปลาแบบยั่งยืน ก็จะสามารถช่วยให้เกิดการบังคับและสนับสนุนให้เกิดการอนุรักษ์ทะเลของทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม การจับปลาเกินกำลังการผลิตของทะเลนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นเหตุผลหลักของความเสื่อมโทรมของทะเล แต่ก็ไม่ใช่เพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น หากยังมีเหตุผลสำคัญอื่นๆ อีก เช่น วิธีการจับปลาแบบทำลายล้างโดยวิธีหลักก็คือ การจับปลาโดยใช้อวนลาก อวนรุน และเรือปั่นไฟ วิธีการจับปลาสามวิธีนี้เป็นวิธีการจับปลาที่ทำลายล้างอย่างหนักที่ทั่วโลกไม่ยอมรับและหลายประเทศมีการห้ามใช้แล้ว หากแต่ประเทศไทยนั้นยังเป็นหนึ่งในประเทศที่ยังมีการอนุญาตให้ใช้วิธีการจับปลาเช่นนี้อยู่ โดยเฉพาะอวนลากนั้นจะส่งผลให้ที่อยู่อาศัยของลูกปลาและระบบนิเวศหน้าดินนั้นถูกทำลาย ทำให้ระบบนิเวศของทะเลโดยรวมนั้นเสื่อมโทรม การใช้ตาอวนขนาดเล็กเพื่อจับลูกปลาเพื่อไปทำปลาป่นเพื่อเลี้ยงสัตว์ก็ส่งผลเสียอย่างมาก ทั้งเป็นการสูญเสียโอกาสที่ลูกปลาจะสามารถเจริญเติบโตไปเป็นอาหารของคนอีกต่อไปและสร้างรายได้ให้กับประเทศอีกมากมาย และยังหมายถึงการทำลายห่วงโซ่อาหารของสัตว์น้ำ
ประเทศไทยนั้นไม่เพียงแต่มีการอนุญาตให้ใช้อวนลาก แต่อีกทั้งรัฐบาลพิจารณาเสนอให้มีการ “นิรโทษกรรมเรือประมงอวนลากเถื่อนทั่วประเทศ” อีกกว่า 2,000 ลำ หลังจากที่สหภาพยุโรปไม่รับซื้อสินค้าจากเรือเหล่านี้ เนื่องจากไม่ได้ทำตามมาตรฐาน IUU Fishing ซึ่งมาจากคำว่า Illegal, Unreported and Unregulated Fishing ซึ่งแปลว่า การทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม หรือเรียกง่ายๆ ว่า เหตุที่สหภาพยุโรปไม่ซื้อสินค้าประมงจากเรือเหล่านี้ เพราะเรือเหล่านี้เป็นเรือจับปลาที่ผิดกฎหมาย เพราะไม่มีการลงทะเบียนและไม่ถูกควบคุม
ดังนั้น การพิจารณาเสนอให้มีการนิรโทษกรรมเรืออวนลากเหล่านี้ จึงเป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์กฎข้อบังคับของสหภาพยุโรปที่มีการใช้ข้อบังคับ “IUU Fishing” ที่ต้องการให้รัฐบาลผู้ส่งออกเข้มงวด ต่อต้านและลงโทษการประมงที่ผิดกฎหมาย ไม่ใช่การเสนอให้มีการนิรโทษกรรมแบบที่รัฐบาลไทยกำลังพิจารณาอยู่ ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องและไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มปัญหามากขึ้น จนทำให้มีการมีการคัดค้านจากกลุ่มเรือประมงพื้นบ้านและภาคประชาชนอย่างมาก เพราะไม่ได้แก้ไขเรื่องการจับปลาผิดกฎหมายอย่างแท้จริง แต่เป็นการทำให้สิ่งที่ผิดกฎหมายกลายเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายเท่านั้น
ทั้งนี้ หากดูไปแล้วอุตสาหกรรมส่งออกอาหารทะเลของไทยไม่ว่าจะเป็นอาหารทะเลสด แช่แข็ง กระป๋อง หรือปลาป่น ก็ล้วนแล้วแต่จะบ่อนทำลายทรัพยากรทางทะเลทั้งสิ้น จะอีกนานเท่าไหร่ที่ประเทศไทยยังจะเป็นประเทศที่ทำร้ายทรัพยากรด้วยความโลภ ถึงเวลาหรือยังที่ประเทศของเราจะหันมาพัฒนาด้วยความยั่งยืนโดยปราศจากความเห็นแก่ตัว ไม่ทำร้ายทำลายทรัพยากรมากมายแบบทุกวันนี้
&<2288;
&<2288;
&<2288;
&<2288;
&<2288;


