"เหยียดสีผิว"...ปัญหาอมตะวงการกีฬา
ปัญหาการเหยียดสีผิวเป็นปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนที่สำคัญของโลกมาตั้งแต่ในอดีตถึงปัจจุบัน
โดย...มิวโกโตะ
ปัญหาการเหยียดสีผิวเป็นปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนที่สำคัญของโลกมาตั้งแต่ในอดีตถึงปัจจุบัน ซึ่งเกิดมาจากการที่มนุษย์มองคนรอบข้างต่ำต้อยกว่าตนด้วยเหตุมาจากสีผิวที่ต่างกัน ทำให้เกิดการดูถูกและการกีดกันสิทธิต่างๆ ปัญหานี้เกิดขึ้นอยู่ทั่วทุกมุมโลก และมีมายาวนานแล้ว แม้ในปัจจุบันจะลดความรุนแรงลงไปบ้าง เนื่องจากมีหลายภาคส่วนช่วยกันรณรงค์
ทว่าในวงการกีฬากลับสวนทางในเรื่องเหยียดผิว หากเปรียบเทียบจากข่าวที่ออกมาในแต่ละวัน โดยเฉพาะวงการลูกหนัง
มารู้จักเหยียดผิวกันดีกว่า
หากเอ่ยคำว่าเหยียดผิว หลายคนมักเข้าใจผิดคิดว่าคำดังกล่าวเป็นการกระทำโดยคนผิวขาว ดูถูกคนผิวดำ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่เลย การเหยียดผิวนั้นรวมไปถึงการดูถูกคนเชื้อสายอื่นๆ ด้วย เช่น คนแถบตะวันตก เหยียดคนฝั่งเอเชีย ทั้งที่มีสีผิวเดียวกัน แต่พวกใจแคบเหล่านี้ก็จะเหยียดคนทวีปเอเชียว่าเป็นพวกผิวเหลือง หรือยกตัวอย่างคำด่าที่ไม่น่ารักที่คนไทยชอบใช้ จำพวก “ไอลาว ไอ้ดำ ไอ้แขก” เหล่านี้ล้วนเป็นคำเหยียดทั้งสิ้น
การเหยียดผิวนอกจากคำพูดแล้วยังมีลักษณะของพฤติกรรมอีกด้วย ตัวอย่างเช่นในโอลิมปิก เกมส์ 2012 ที่กรุงลอนดอน เมื่อกลางปี มีนักฟุตบอลทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ และนักกรีฑาสาวจากกรีซ ถูกเหยียดผิวโดยการขับไล่ออกจากบ้านพักนักกีฬา นับเป็นเรื่องที่น่าหดหู่เป็นอย่างยิ่ง
โซเชียลมีเดีย...ชนวนลุกลาม
จริงๆ แล้วการเหยียดผิวในแวดวงกีฬามีมานานแล้ว และไม่ได้น้อยไปกว่าปัจจุบัน เพียงแต่ว่าวิวัฒนาการด้านการสื่อสารต่างหากที่สร้างภาพลวงว่า ยุคสมัยนี้เรื่องเหยียดผิวรุนแรงกว่าในอดีต ขอยกตัวอย่างย้อนไปสัก 20 ปีที่แล้ว จอห์น บาร์นส์ ปีกตำนานทีมลิเวอร์พูลถูกแฟนคู่แข่งปากล้วยเข้ามาในสนาม จนเป็นเรื่องฮือฮามากในอังกฤษ
ทว่าในประเทศไทย หรืออีกหลายๆ ชาติกลับไม่ทราบกระแสดังกล่าว โดยรู้เพียงข่าวว่านักเตะถูกเหยียดผิวเท่านั้น นั่นเพราะการเข้าถึงของแหล่งข้อมูลไม่กว้างขวางพอ
ต่างจากที่ จอห์น เทอร์รี กัปตันทีมเชลซีใช้คำว่า “ไอ้ดำ” เพียงครั้งเดียวใส่ แอนตัน เฟอร์ดินานด์ ปราการหลังควีนส์ปาร์ก เรื่องราวกลับลุกลามใหญ่โต จนเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ รายวัน
นั่นเพราะการเข้ามาของโซเชียลมีเดีย จำพวก เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ที่ทุกคนสามารถโต้ตอบ และแสดงความคิดเห็นได้ทันที ซึ่งตรงจุดนี้กลายเป็นชนวนทันที เนื่องจากบางครั้งการโพสต์หรือทวีตอะไรบางอย่างลงไป มันถูกอารมณ์ชั่ววูบเข้าครอบงำ จนบางครั้งทำให้เรื่องราวเล็กๆ กลายเป็นประเด็นใหญ่โต อีกทั้งผู้ใช้เองก็อาจได้รับโทษ
เหมือนอย่าง ริโอ เฟอร์ดินานด์ พี่ชายแท้ๆ ของ แอนตัน ที่ถูกปรับเงินโทษฐานทวีตคำแสลงว่า “ช็อกไอซ์” (คนดำหัวใจคนขาว) ใส่ แอชลีย์ โคล เพื่อนร่วมทีมของ เทอร์รี นั่นเอง
เหยียดหยาม หรือแอบกลัว ???
ในวงการเทนนิสคงไม่มีใครไม่รู้จัก วีนัส และ เซเรนา วิลเลียมส์ สองพี่น้องชาวอเมริกันที่เคยขึ้นมือ 1 โลกมาทั้งคู่ โดย 2 สาววิลเลียมส์ได้เปิดใจผ่านสื่อ ว่าในช่วงจุดพีกอาชีพของพวกเธอ มีนักเทนนิสและแฟนๆ หลายคนพยายามเหยียดผิวเธอและน้องสาว
“ฉันเคยถามหาเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงทำเรื่องน่ารังเกียจเช่นนั้น จนได้คำตอบว่า คนเหล่านั้นกลัวฝีมือของฉันกับน้องสาว” วีนัส กล่าว
ขณะที่ มาริโอ บาโลเตลลี ดาวเตะทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี ก็เคยคิดแบบพี่น้องตระกูลวิลเลียมส์เช่นกัน โดยกองหน้าวัย 22 ปี กล่าวว่า แฟนบอลที่ตะโกนเหยียดผิวเขา เป็นพวกขี้อิจฉา ที่เห็นเขายิงประตูมากมายและมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่ไม่ทิ้งลายเกรียน เมื่อเจ้าโอ้ขู่ฆ่าพวกเหยียดผิวหากเจอด้วยตนเอง ถึงขนาดติดคุกก็ยอม
“ผมจะไม่ยอมรับการเหยียดผิว มันยอมรับไม่ได้จริงๆ ถ้ามีคนปากล้วยใส่ผมบนถนน ผมจะยอมเข้าคุก เพราะผมจะฆ่าพวกเขา” คำขู่จาก บาโลเตลลี
เหตุผลที่กล่าวมาดูจะชัดเจนมากขึ้นหากนำมาเทียบกับประวัติศาสตร์บาสเกตบอลในสหรัฐ เมื่อสมัยก่อนจะมีลีกยัดห่วงระดับโลกอย่างเอ็นบีเอ ชาวเมืองมะกันก็มีการกีดกันระหว่างพื้นเมืองดั้งเดิม และการดูถูกคนเชื้อสายอื่นๆ โดยชาวแอฟริกันอเมริกันเป็นพลเมืองชั้นสอง ซึ่งสนามบาสในยุคนั้นจะมีไว้ให้คนผิวขาวเล่นเท่านั้น กระทั่งกลุ่มคนผิวสีรวมตัวกันฝึกซ้อม และต่อมาได้ท้าแข่งกระทั่งเอาชนะคนท้องถิ่นได้ จนทุกวันนี้ซูเปอร์สตาร์ในลีกเอ็นบีเอเกินครึ่งเป็นคนผิวสี
ทิศทางในอนาคต
คงเป็นไปได้ยากที่เรื่องเหยียดผิวจะหมดไปในวงการกีฬา หากช่องทางในการสื่อสารยังมีมากอย่างเช่นปัจจุบัน อีกทั้งสเกลผู้ที่สนใจกีฬากว้างจนลำบากที่จะควบคุมให้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์
เกวิน บราวน์ นักวิเคราะห์กีฬาชื่อดังทางฝั่งยุโรป มองว่าการหยุดเรื่องราวเหยียดผิวมีค่าเท่ากับศูนย์ ตราบใดที่ยังมีคนไม่ตระหนักถึงความร้ายแรงเรื่องเหยียดผิว
ทั้งนี้ คอลัมนิสต์แห่งเมโทรบล็อก ยกตัวอย่าง เซปป์ แบลตเตอร์ ที่มีตำแหน่งเป็นถึงประธานสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า แต่กลับออกมาแสดงความคิดเห็นว่าไม่มีการเหยียดผิวในวงการฟุตบอล
“เมื่อคุณเป็นนักฟุตบอลแล้วในระหว่างเกม คุณต้องต่อสู้กับคู่แข่งของคุณ บางสิ่งบางอย่างอาจทำไม่ถูกต้อง แต่มันเป็นเรื่องปกติที่พอเวลาจบเกมแล้วคุณก็ขอโทษคู่ต่อสู้ของคุณถ้าหากเกิดการเผชิญหน้ากันระหว่างเกม คุณจับมือกับเขาเมื่อจบเกม และปัญหาทุกอย่างก็จบ” คำกล่าวของ แบลตเตอร์
หลังให้สัมภาษณ์ดังกล่าว ประมุขแห่งฟีฟ่าก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ทันที ทำนองใจแคบ และไม่เห็นใจเหยื่อผู้ถูกกระทำ ซึ่ง บราวน์ วิเคราะห์ว่าเรื่องนี้จะจบได้ต่อเมื่อทุกฝ่ายตระหนักถึงปัญหาและค่อยๆ เดินนโยบายแก้ไขร่วมกันเท่านั้น
นอกจากนี้ กูรูลูกหนังยังยกตัวอย่างกรณีที่ หลุยส์ ซัวเรซ ศูนย์หน้าทีมชาติอุรุกวัยของลิเวอร์พูล 8 นัด พร้อมทั้งปรับเงิน 4 หมื่นปอนด์ (ราว 2 ล้านบาท) จากข้อหาเหยียดสีผิว ปาทริซ เอวรา แบ็กซ้ายแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในขณะที่ เทอร์รี ได้รับโทษแบนและค่าปรับเพียงครึ่งเดียวจากที่ ซัวเรซ โดน จึงเกิดคำถามตามมาว่าเป็นเรื่องสองมาตรฐานหรือไม่ เพราะคนหนึ่งเป็นอเมริกาใต้ ส่วนอีกคนเป็นอังกฤษแท้ๆ
แนวทางดับไฟเหยียดผิว
แม้จะฟังดูแก้ไขยาก แต่บรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องก็ไม่ได้ยกธงขาวต่อเรื่องนี้ซะทีเดียว อย่างสื่อในประเทศอังกฤษรวมตัวกันในฐานะประเทศที่ได้รับผลกระทบเรื่องเหยียดผิวจำนวนมาก ได้จัดทำแบบสอบถามครั้งใหญ่ในรอบ 20 ปี โดยจะเป็นการเจาะลึกถึงปัญหา รวมถึงอยากทราบแนวทางแก้ปัญหาของภาคประชาชน
ขณะที่บุคคลที่ทรงอิทธิพลในวงการฟุตบอลแห่งอังกฤษต่างก็พยายามมีส่วนร่วมในการรณรงค์ครั้งนี้
เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้สั่งให้ลูกทีมทุกคนสวมเสื้อต่อต้านการเหยียดสีผิวที่มีข้อความ “คิก อิต เอาต์” (Kick It Out) เพื่อรณรงค์เรื่องดังกล่าวในเกมกับ สโตก ซิตี วานนี้ ตั้งแต่ช่วงซ้อมก่อนแข่งจริง
ด้าน อาร์แซน เวนเกอร์ นายใหญ่อาร์เซนอล กลับลงลึกไปกว่านั้น โดยมองว่าปัญหาการเหยียดผิวตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของผิวพรรณวรรณะเท่านั้น แต่ควรจะรณรงค์เรื่องคำสบถเวลาของนักเตะในสนามก็ควรกำจัดให้หมดสิ้นไป พร้อมกระตุ้นนักเตะทุกสีผิวรวมตัวกันให้เป็นปึกแผ่น เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนในการต่อต้านการเหยียดผิว
“ผมรู้สึกว่าผู้เล่นผิวสีตกเป็นเป้าใหญ่ในการโดนโจมตีมาโดยตลอด และถ้าพวกเขาไม่ร่วมกันทำแบบนี้ ทุกอย่างก็จะกลับไปเป็นแบบเดิม” เวนเกอร์ กล่าว
เหล่านี้เป็นแนวทางที่ผู้เกี่ยวข้องโดยตรงที่พยายามช่วยกันแก้ไขปัญหา แต่ในมุมมองของผู้เขียนเห็นว่า การจะขจัดปัญหาเหยียดผิวในวงการกีฬา คือต้องขีดมาตรฐานของบทลงโทษให้ได้ การตัดสินโทษต้องปราศจากอคติ หากทำได้เช่นนี้ เชื่อว่าปัญหาเรื้อรังนี้จะถูกขจัดไปได้มากพอสมควร (ในประเทศที่พัฒนาแล้ว)


