posttoday

ว่างเปล่า หรือ มีอยู่จริง

19 กันยายน 2555

โดย...เสน่ห์จันทน์

โดย...เสน่ห์จันทน์

คงจะไม่มีใครปฏิเสธว่า...ไม่เคยตั้งคำถามถึงคุณค่าและความหมายของสิ่งต่างๆ ที่แวดล้อมอยู่ในชีวิตประจำวัน และเกี่ยวกับชีวิตของตัวเอง บางคนก็หาคำตอบให้ตัวเองเจอ บางคนก็มืดบอด ทว่าบางทีคำถามนี้ก็ดูเสมือนปัญหาโลกแตกไปเสียอย่างนั้น...

การเกิดขึ้นของนิทรรศการ “อัตลักษณ์ที่ว่างเปล่า” ก็เช่นเดียวกัน “พัชรพงษ์ มีศิลป์” ได้สรรค์สร้างงานจิตรกรรมโดยซ่อนนัยคำถามเหล่านั้น ทั้งในแง่ของความจำเป็นต่อการดำรงชีพ และในแง่ของการตั้งสมมติสัจจะจากอุปาทาน โดยเลือกนำวัตถุที่กระทบต่อความรู้สึกของศิลปิน มาใช้เป็นสัญลักษณ์สะท้อนการตระหนักรู้ และให้คุณค่ากับสิ่งนั้นๆ

พัชรพงษ์เล่าถึงที่มาของงานชุดนี้ว่า เกิดจากความรู้สึกสงสัยในรูปแบบของการใช้ชีวิตที่เป็นๆ อยู่ทุกๆ วัน “คือบางทีผมรู้สึกเหนื่อยท้อถอย คือเราพยายามแสวงหาความสมบูรณ์แบบของชีวิตหรือว่าสิ่งต่างๆ ที่สังคมกำหนดให้เหล่านี้อยู่ตลอด และผมเองยังก็ไม่แน่ใจว่า จะลดหรือหยุดความต้องการพวกนั้นได้ วันหนึ่งผมเลยกลับมาคิดว่า จริงๆ แล้วเราต้องการมันมากขนาดนั้นหรือเปล่า

งานในชุดนี้แนวความคิดของงานเลยเป็นเหมือนการพยายามมองทุกสิ่งอย่างด้วยความเข้าใจถึงคุณค่าที่แท้จริงในการใช้ชีวิตหรือสิ่งๆ ต่างๆ ที่มนุษย์และสังคมร่วมกันสร้างขึ้น สุดท้ายความว่างเปล่าและการสมมติขึ้นของเราเอง ก็คือผลเหตุของความจริงเหล่านั้นในความคิดของผม”

อัตลักษณ์ที่ว่างเปล่า จึงถูกนำมาตั้งเป็นชื่อนิทรรศการ “อัตลักษณ์อาจคือรูปแบบหรือคำพูดของการแสดงให้เห็นถึงการมีตัวตน แต่ตัวตนของสิ่งต่างๆ เหล่านี้ในความคิดผม มันคือรูปแบบและความเชื่อที่สังคมหยิบยื่นให้ ซึ่งบางทีเราก็ไม่รู้ว่ามันดีจริงมากน้อยแค่ไหน เรารับมาและแทบจะไม่ปฏิเสธมันเลย จนบางทีผมก็รู้สึกว่าตัวเรากำลังวิ่งตามหามัน อย่างที่ไม่รู้ว่าจะไปหยุดอยู่ตรงไหนเหมือนกัน”

ว่างเปล่า หรือ มีอยู่จริง

 

งานจิตรกรรมนี้ศิลปินได้แบ่งความหมายออกเป็น 2 ส่วน ความหมายแรก มาจากตัวศิลปินเองที่รู้สึกต่อวัตถุและความเชื่อในสิ่งเหล่านั้น และความหมายที่ 2 คือตัววัตถุเหล่านั้นแสดงความหมายในตัวของมันเอง “งานส่วนแรกผมใช้ภาพใบหน้าตัวเองสะท้อนความรู้สึก เป็นเสมือนรูปลักษณ์ที่ถูกสร้างขึ้นจากวัตถุและความเชื่อ ที่ผมคิดว่ามันคือตัวแทนของความฉาบฉวยในยุคของความสมบูรณ์แบบทางโลก เป็นภาพแทนความรู้สึกถึงการมีอยู่ของคุณค่าในความเป็นวัตถุนิยม (โดยใช้สัญลักษณ์พลาสติกและซิป) แต่ภายในกลับมีแต่ความว่างเปล่าและไม่สามารถจับต้องได้ เหมือนพื้นที่ให้เราได้จินตนาการต่อถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งว่าที่มากไปกว่านั้น และไม่แน่ว่าความว่างเปล่าภายในนั้นจะมีคุณค่าและความหมายมากกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ภายนอกก็ได้

ผลงานที่คิดต่อเนื่องมา คือรูปประติมากรรมน้ำแข็ง ที่ผมพยายามตีความให้เห็นถึงอีกด้านของความจริงจากวัตถุเหล่านั้น เป็นการถอดพิมพ์ออกมาจากต้นแบบ ซึ่งก็คือภาพซ้อนของความจริง หรือคุณค่าที่ผมพยายามจะบอกโดยวัตถุต่างๆ เช่น ของขวัญ ถ้วยรางวัล ปืน รถ ที่ยกตัวอย่างมาคือ รูปแบบความเชื่อหรือค่านิยมที่มีมาแต่นมนาน เป็นเครื่องการันตีฐานะทางสังคมและคือตัววัดคุณภาพของคน

สิ่งเหล่านี้คือรูปแบบที่สังคมสร้างขึ้น ผมเลยอุปมาประติมากรรมน้ำแข็ง ให้เป็นภาพเสมือนการสมมติขึ้นของสิ่งเหล่านี้ ที่มนุษย์และสังคมหล่อหลอมมันขึ้นมา ท้ายที่สุดคือการจินตนาการต่อของน้ำแข็ง ซึ่งจะละลายหายไปหมด ซึ่งผมหมายความถึงการสมมติของการไม่มีอยู่ของตัวมันเอง”

พัชรพงษ์ได้เปิดมุมมองถึงข้าวของเครื่องใช้ สิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์ ซึ่งบางสิ่งบางอย่างกลายเป็นวัตถุนิยม “ผมว่าตั้งแต่เราเกิดมาก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว มีแต่ตัวแล้วเราก็เอานู่นเอานี่มาใส่จนยุ่งเหยิงไปหมด จริงๆ ตัวเราว่างเปล่ามาตั้งแต่ต้น คุณค่าที่แท้จริงบางทีก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม หรือสิ่งที่เรามีและเป็นอยู่เสมอไป

บางทีถึงต้องมองย้อนกลับไปดูที่มาของตัวเองเหมือนกัน วัตถุข้าวของแพงๆ มันจำเป็นขนาดไหนยังไง ของบางอย่างราคาต่างกันแต่คุณค่าไม่ต่างกันก็มี มันขึ้นอยู่กับวิธีเลือกและเราจะจัดการกับความรู้สึกและความต้องการของเรายังไง นี่แหละที่ผมมองว่าสำคัญ สำคัญจนผมมองจากเรื่องของการใช้งานกลายเป็นเรื่องของความรู้สึกที่จะมีหรือไม่มีมันมากกว่า ความต้องการนั่นแหละที่จะตอบตัวเองว่าจะให้มันว่างเปล่าหรือให้มันมีอยู่”

พัชรพงษ์ ทิ้งท้ายว่า นิทรรศการครั้งนี้ต้องการให้คนเอาไปคิดต่อ “มันอาจจะเป็นหรือไม่ก็ได้ในแบบที่ผมคิด เพราะความว่างเปล่ามันอาจเป็นความหมายที่ไกลเกินจากสิ่งที่เป็นจริงในผลงาน ก็แล้วแต่คนจะไปตีความไปยังไง ส่วนตัวผมคิดว่าอาจเป็นทางให้เราเลือกที่จะเข้าใจต่อหลายๆ สิ่งในการใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบัน และทำให้รู้ว่าคุณค่าในสิ่งต่างๆ นั้นเราสามารถเลือกที่จะใช้ หรือเป็นในมุมอื่นได้มากกว่าสิ่งที่สังคมสร้างขึ้นและหยิบยื่นให้ได้

ความว่างเปล่าอาจเป็นความหมายที่ไกลเกินไปจากสิ่งที่เห็นได้ในผลงานก็จริง แต่ไม่ใช่ว่าเราจะสัมผัสไม่ได้ ผมเชื่อว่าแต่ละคนมีภาษาในการรับรู้ในแต่ละสิ่งที่พบเห็น แต่บางทีอาจหลงลืมหรือไม่ทันได้คิด”

นิทรรศการเปิดให้ชมตั้งแต่วันนี้ถึง 30 ก.ย. ณ ดีโอบีหัวลำโพง แกลเลอรี ถนนพระราม 4 โทร. 02-422-2092

ข่าวล่าสุด

เลิกวนลูป! ส่อง 3 เป้าหมายยอดนิยมที่คนไทยตั้งไว้ทุกต้นปี เป็นจริงได้อย่างไร?