เรียงความเรื่องโลกร้อน (2)
เรียงความเรื่องโลกร้อนว่าใครเป็นต้นเหตุที่แท้จริง ระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้ว
โดย...พุทธิชีวิน
เรียงความเรื่องโลกร้อนว่าใครเป็นต้นเหตุที่แท้จริง ระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้ว กับประเทศที่กำลังพัฒนากำลัง เป็นที่สนใจของเด็กนักเรียนโรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่ง ก่อนหน้านี้คุณครูได้อ่านเรียงความฉบับแรกไปแล้ว โดยในฉบับนั้นเด็กนักเรียนคนแรกได้ให้ความเชื่อประกอบหลักฐานว่า ประเทศที่ทำให้โลกร้อนน่าจะเป็นประเทศมหาอำนาจ
คุณครูหยิบเรียงความฉบับที่ 2 ขึ้นมาอ่าน โดยคุณครูอธิบายว่า เรียงความฉบับนี้มีมุมมองที่ต่างออกไปจากฉบับแรก และมีจุดยืนโน้มเอียงไปในทางที่ประเทศที่กำลังพัฒนา ควรมีความรับผิดชอบต่อโลกใบนี้มากกว่านี้ เรียงความฉบับนี้เริ่มต้นอย่างนี้ครับ
เพราะพวกเราเชื่อกันว่าโลกร้อนเกิดจากประเทศที่พัฒนาแล้ว อันนี้น่าจะเป็นความจริง แต่มันน่าจะเป็นความจริงเพียงครึ่งเดียว เพราะหลังจากประเทศที่พัฒนาแล้วทิ้งขยะกองโตไว้บนโลก นั่นคือ CO2 พวกเขาก็พยายามที่จะหยุดยั้งไม่ให้ขยะกองโตไปกว่านี้
พวกเขาในที่นี้ หมายถึงประเทศที่พัฒนาแล้ว ยกเว้นอเมริกาและออสเตรเลีย ที่ไม่ยอมลงนามในปฏิญญาเกียวโต ที่มีผลบังคับให้ประเทศที่พัฒนาแล้วลดการเปลี่ยน CO2 ลงมาให้ได้อย่างน้อย 5% มีกลุ่มยุโรปที่ต้องรับผิดชอบมากกว่าเพื่อน คือ ต้องลดให้ได้อย่างน้อย 8% ญี่ปุ่นกับแคนาดาเท่ากันคือ 6%
ตั้งแต่ปฏิญญานี้มีผลบังคับใช้เมื่อปี 2005 จนถึงปัจจุบันยังไม่มีประเทศไหนลดลงมาได้ถึงเป้าเลย และเมื่อปีที่แล้วแคนาดาขอถอนตัวจากปฏิญญานี้ เพราะไม่แน่ใจว่าจะทำได้ถึงเป้าตามที่ได้ลงนามไว้หรือเปล่า
ความพยายามที่จะลดถือเป็นสิ่งที่ดี แต่เหตุการณ์กลับแย่ลงไปอีก เพราะถูกซ้ำเติมด้วยประเทศที่กำลังพัฒนา ทำให้ขยะกองโตที่ถูกทิ้งไว้โดยประเทศที่พัฒนาแล้วกลับยิ่งโตขึ้นไปอีก เพราะด้วยแนวคิดมึงทิ้งได้กูก็ทิ้งได้
เขานำเสนอตัวเลขการปล่อย CO2 ของ 10 ประเทศ ที่ปล่อยมากที่สุด นั่นคือ รวมกันถึง 67.2%
อันดับหนึ่ง คือ จีนปล่อย 6,163,493 เมตริกตัน คิดเป็นสัดส่วน 21.5% อันดับสอง อเมริกาปล่อยตามมาติดๆ 5,722,289 เมตริกตัน คิดเป็น 20.2% อันดับสาม รัสเซียปล่อย 1,564,669 เมตริกตัน คิดเป็น 5.5% อันดับสี่ อินเดียปล่อย 1,510,669 เมตริกตัน คิดเป็น 5.3% อันดับ 5 ญี่ปุ่นปล่อย 1,293,409 เมตริกตัน คิดเป็น 4.6% อันดับ 6 เยอรมนีปล่อย 805,090 เมตริกตัน คิดเป็น 2.8%
อันดับเจ็ด สหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์เหนือปล่อย 568,520 เมตริกตัน คิดเป็น 2% อันดับแปด แคนาดาปล่อย 544,680 เมตริกตัน คิดเป็น 1.9% อันดับเก้า เกาหลีใต้ปล่อย 475,248 เมตริกตัน คิดเป็น 1.7% อันดับสิบ อิตาลีปล่อย 474,148 เมตริกตัน คิดเป็น 1.7%
ส่วนประเทศไทยอยู่ลำดับที่ 22 คือ 272,521 เมตริกตัน คิดเป็น 1%
ถ้าเรานับจีนกับอินเดียเป็นประเทศที่กำลังพัฒนา สองประเทศนี้รวมกันคิดเป็น 26.8% นั่นหมายถึงเกิน 1 ใน 4 ของการปล่อย CO2 ของคนทั้งโลก
เราเห็นมิติของการปล่อย CO2 ไปแล้ว มาดูมิติของการทำลายกันบ้าง เราต้องยอมรับกันว่าต้นไม้ คือสิ่งที่ทรงพลังมากที่สุดในการกำจัด CO2 เพราะต้นไม้คือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการควบคุมสภาพภูมิอากาศ ให้เป็นไปตามฤดูกาลดูดเอา CO2 ไปเก็บ และปล่อย O2 หรือออกซิเจนออกมาให้กับโลก
องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ได้เก็บรวบรวมข้อมูลการตัดไม้ทำลายป่าจาก 180 ประเทศทั่วโลก ระบุว่า มีอยู่ 9 ประเทศที่มีความเสี่ยงสูงสุดจากการตัดไม้ทำลายป่า คือ ไนจีเรีย อินโดนีเซีย เกาหลีเหนือ โบลิเวีย ปาปัวนิวกินี สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก นิการากัว และกัมพูชา
อินโดนีเซียเสียพื้นป่าไปปีละ 1 หมื่นตารางกิโลเมตร หรือราวๆ 13 เท่าของประเทศสิงคโปร์ ประเทศบราซิลเสียพื้นป่าไปปีละ 2.2 หมื่นตารางกิโลเมตร ประเทศไนจีเรียเสียพื้นป่าไปปีละ 2.2 หมื่นตารางกิโลเมตร
ทุกประเทศที่กล่าวมา คือ ประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งสิ้น จีนเป็นประเทศที่มีการใช้ไม้มากที่สุดในโลก มีการตัดต้นไม้ในประเทศของตัวเองน้อยที่สุดในโลก และมีการปลูกป่าขึ้นมาทดแทนของเดิมมากที่สุดในโลกเช่นกัน
เรียงความฉบับนี้จบลงด้วยประโยคที่ว่า “เชื่อผมหรือไม่ถ้าจะแก้โลกร้อนต้องแก้ที่ประเทศกำลังพัฒนาเป็นอันดับแรก”
สำหรับเรียงความฉบับที่ 3 ที่คุณครูเอามาอ่านมีใจความสั้นๆ ดังนี้
โลกของเราไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ทุกอย่างดูเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ ภัยพิบัติต่างๆ แย่งกันทำลายสถิติ
โลกเป็นของพวกเราทุกคน ปัญหาโลกร้อนเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องความเป็นความตายของมนุษยชาติ มันจึงไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะมอบภาระความรับผิดชอบให้กับใครคนใดคนหนึ่ง ในความเป็นจริงพวกเราทุกคนทุกประเทศในโลกนี้จะต้องร่วมรับผิดชอบโลกใบนี้เท่าเทียมกัน
โลกมีสภาพเช่นนี้ เพราะมือของพวกเราทุกคนครับ


