ธรรมปฏิบัติเพื่อการรู้แจ้งในธรรม ณ สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา (ตอน ๑๑)
มันเห็นความดับเพียงส่วนเดียว ถ้าเป็นภาษาทางญาณ ถ้ากำหนดถึงขั้นญาณได้ ตรงนี้เป็น “ภังคญาณ”
โดย...พระอาจารย์อารยะวังโส
มันเห็นความดับเพียงส่วนเดียว ถ้าเป็นภาษาทางญาณ ถ้ากำหนดถึงขั้นญาณได้ ตรงนี้เป็น “ภังคญาณ” ญาณที่เห็นความดับส่วนเดียว หรือ “ภังคานุปัสสนาญาณ” เป็นวิปัสสนาที่เกิดขึ้นจากเห็นความดับส่วนเดียวของรูปนาม นามรูป ออกจะเปรียบเทียบเช่นนี้ได้ มันต้องเห็นความดับของกายสังขาร จึงจะเป็นจิตที่ละเอียดในขั้นตอนเบื้องต้น และก็ดับของกายสังขารทั้งปวง คือรู้ลมเข้าออก ลมเข้าก็รู้กายสังขาร ลมออกก็รู้กายสังขาร กายสังขารดับเมื่อไหร่นี่ เรารู้ทันที รู้ลมหายใจเข้า กายสังขารนั้นสงบ หรือระงับ หรือดับ... สงบไป ระงับไป หรือดับไป... แล้วแต่จะใช้ศัพท์ มันสงบไปก็ได้ มันสงบนิ่งทันทีเลย อาการปรุงแต่งของกายสังขารลมนั้น เกือบไม่มี... มันบางมาก มันเบามาก กายเบา จิตเบา เกิดปีติ เกิดความสุขเกิดขึ้นสืบจากปีติ จิตนั้นอยู่ในอารมณ์เดียวตั้งมั่น ตรงนี้สมาธิที่จะให้เกิดปัญญาเกิดขึ้น... สมาธินี้จะสืบไปให้เกิดปัญญา เพราะเกิดจากความรู้อบรมจิตให้เกิดสมาธิ... ความรู้ตัวนั้นจะสืบเนื่องเปลี่ยนไปให้เกิดปัญญา ความรู้นั้นคือความระลึกรู้ ก็คือตัวสติ...
สติที่กำกับรู้ลมเข้า-ออกเรียกว่าเป็นหลักกรรมฐาน “อานาปานสติ” ที่ให้ผลสืบเนื่อง คือ ปีติกับสุข ด้วยอาการทั้ง ๔ ขั้นตอนที่เกิดขึ้นจากการกำหนดรู้ลมเข้า-ออก และเห็นกายสังขาร จนกายสังขารได้สงบระงับไป... ๔ ขั้นตอนดังกล่าวนั้นอยู่ในหมวดกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ที่แจกแจงแสดงให้เห็นในหลักอานาปานสติทั้ง ๑๖ ขั้น โดย ๔ ขั้นแรกจัดอยู่ในหมวดกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน (เป็นหมวดที่ ๑)
เมื่อปีติสุขเกิดขึ้น ปีติสุขเป็นอาการทางจิต เป็นอารมณ์ที่ยกขึ้นสู่จิต เรียกว่า “เวทนา” เรารู้ในความเต็มเป็นไปของปีติ รู้อย่างเต็มที่ในสภาพธรรมที่เกิดขึ้นของปีติ ทุกลมหายใจเข้า ทุกลมหายใจออก... รู้ในสภาพธรรมเต็มที่ของความสุขที่สืบเนื่องจากปีติ ทุกลมหายใจเข้า ทุกลมหายใจออก... ทั้งปีติทั้งสุขนี้เป็น “เวทนา” เป็นเวทนาที่เกิดขึ้นจากสมาธิที่ตั้งมั่นจึงออกไปทาง “สุขเวทนา” แต่มีปีติเป็นเบื้องต้น ถ้าถูกทางจะต้องเป็นปีติกับสุข...
แต่ถ้านั่งเจ็บๆ ปวดๆ อยู่ นั่นไม่ใช่ แสดงว่า สมาธิเรายังไม่ตั้ง ... ๔ ขั้นตอนแรกนั้นยังใช้ไม่ได้ ยังไม่ให้ผลต่อการประพฤติปฏิบัติอันควรค่า เกิดจากการสืบวิถีจิตไปเบื้องหน้า เพื่อพัฒนาจิตไปถึงที่สุดก็คือความปริสุทธิ เพื่อวิสุทธิธรรม เพื่อความสิ้นทุกข์... ยังไม่ผ่าน ๔ ขั้นตอนแรก ถ้ายังเจ็บอยู่ ถ้ายังปวดอยู่ ถ้ายังขุ่นข้องหมองใจอยู่ ยังให้ฟุ้งซ่านอยู่ แสดงว่าเราไม่ผ่าน ๔ ขั้นตอนแรก... จึงต้องกลับไปทำ ๔ ขั้นตอนแรกนั้น ในหมวดแห่งการเพ่งดูในส่วนของลมเข้าออก หรือกายานุปัสสนาให้ได้ผลก่อน จนกว่าจะยกขึ้นสู่จิตและเสวยในอารมณ์นั้น จนที่สุดแล้วเกิดปีติ เพราะสมาธิตั้งขึ้น...
เกิดความสุข เพราะสุขนั้นสืบเนื่องจากปีติ... ปีติสุขจึงเป็นเวทนายกขึ้นสู่จิต รู้ปีติ รู้เต็มที่ในปีติที่เกิดขึ้นทุกลมหายใจเข้าออก จนที่สุด เห็นสุขนั้นเกิดขึ้นมาเต็มที่ เพราะเมื่อมีปีติ สุขก็ต้องสืบเนื่องทันที เพราะเป็นธรรมที่สืบเนื่องต่อเนื่องกัน เพราะเป็นเรื่องวิถีแห่งสมาธิจิตที่ต้องเป็นไปตามลำดับแห่งสมาธิชั้นสูง ที่จะต้องเกิดขึ้นไปตามลำดับแห่งธรรมะของการปฏิบัติ จะไม่ให้เกิดขึ้นนั้นไม่ได้ มันต้องเกิดขึ้นไปตามลำดับ... เมื่อถูกทางแล้ว ถูกธรรมะแล้ว ผลก็ต้องเกิดขึ้น... เรารู้ปีติเต็มที่ เรารู้สุขเต็มที่ ทุกลมหายใจเข้าออก เมื่อปรากฏอาการดังกล่าวของเวทนาฝ่ายที่เป็นปีติมีความสุข...
สิ่งสำคัญทุกลมหายใจเข้า-ออก เมื่อปีติสุขเกิดขึ้น ยกอารมณ์ขึ้นสู่จิต เรียกว่า เวทนา... เวทนานี้ปรุงแต่งจิต เพราะจิตเสวยอารมณ์... จิตเสวยอารมณ์ เวทนานั้นยังคงอยู่... ถ้าจิตไม่เข้าไปเสวยอารมณ์ เวทนานั้นก็ดับไป... เวทนานั้นไม่เที่ยง เกิดขึ้น ดับไป เป็นธรรมดา... เวทนาที่เกิดก็คือปีติกับสุข ก็ปรุงแต่งจิต ทุกลมหายใจเข้า ทุกลมหายใจออก จึงมีปีติสุขนั้นเกิดขึ้นปรุงแต่งจิต
อ่านต่อฉบับวันพรุ่งนี้


