posttoday

พระอาจารย์ประยุทธ ธัมมยุตโต ขุนโจรผู้เป็นพระอริยบุคคล (2)

24 มิถุนายน 2555

หลวงปู่ตื้อสั่งสอนอบรมจนอดีตขุนโจรผู้นั้นปฏิบัติดีปฏิบัติชอบบรรลุธรรมถึง‌ขั้นเป็นพระอริยบุคคล

โดย...ภัทระ คำพิทักษ์

หลวงปู่ตื้อสั่งสอนอบรมจนอดีตขุนโจรผู้นั้นปฏิบัติดีปฏิบัติชอบบรรลุธรรมถึง‌ขั้นเป็นพระอริยบุคคล แต่เรื่องราวของพระ‌
อริยบุคคลท่านนี้ไม่ใคร่แพร่หลายมากนัก

เท่าที่ตรวจสอบพบว่า นานมาแล้วกอง‌บรรณาธิการหนังสือพบโลกเคยสัมภาษณ์ท่าน‌ไว้ครั้งหนึ่ง ต่อมาศิษย์วัดป่าผาลาด ต.วังดัง ‌
อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นวัดที่ท่านพำนักอยู่‌กระทั่งวาระสุดท้ายแห่งชีวิต ได้จัดทำหนังสือ‌ประวัติ พระอาจารย์ประยุทธ ธัมมยุตโต
หรืออดีต “ขุนโจรอิสไมล์แอ” ขึ้นเผยแผ่เมื่อปี ‌2551 แต่ก็อยู่ในวงจำกัดและเป็นหนังสือหายาก ต่อมาศิษย์วัดป่าผาลาดจึงได้คัดลอก‌
และเรียบเรียง ปรับปรุงเนื้อหาดังกล่าวมานำ‌เสนอทาง Blog อีก แต่ก็ยังไม่แพร่หลายมากนัก

กองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์โพสต์ ‌ทูเดย์ จึงได้ติดต่อขออนุญาตทางวัดนำเนื้อหา‌ดังกล่าวมาเผยแผ่ แบบมิได้เรียบเรียงใหม่ ‌
โดยมุ่งหวังให้เรื่องราวนี้ได้เป็นที่รู้จักโดยทั่วกัน ‌จะได้เป็นความรู้ เป็นกำลังใจ และก่อให้เกิด‌สติปัญญาแก่สาธุชนผู้สนใจ ซึ่งทางวัดได้‌
อนุญาตเรียบร้อยแล้ว “คาบใบลานผ่านลาน‌พระ” จะนำเสนอเนื้อหานี้อย่างละเอียดต่อ‌เนื่องจนจบความ ซึ่งเริ่มตอนที่หนึ่งมาแล้วใน‌
สัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนตอนสองมีรายละเอียด‌ต่อไปนี้...

มุ่งมั่นบุกบั่นไปหา...ว่าที่พระอาจารย์

เมื่อกราบลาหลวงพ่อแล้ว ท่านก็เดินทาง‌มุ่งหน้าขึ้นเหนือ ตอนนั้นสงครามเพิ่งสงบทหารญี่ปุ่นที่ถูกปลดอาวุธและกองทัพของ‌
พันธมิตรก็ยังต้องอยู่ในเมืองไทย ต่างก็เจอ‌ปัญหาเหมือนกับคนไทย คือ ไม่ค่อยมีอะไรจะ‌กิน มีการปันส่วนอาหารทั้งในเมืองและชนบท ‌
คนที่อยู่ตามชนบท อำเภอ จะลำบากมาก‌หน่อย เดือนหนึ่งจะมีการปันส่วนอาหารและ‌ของใช้ให้สักหนึ่งครั้ง ต้องเดินทางกัน 10-20 ‌
กิโล ได้ไม้ขีดมา 1 กล่อง น้ำมันก๊าด 1 ขวด ‌สินค้าขาดตลาด พ่อค้ากักตุน ทำให้เกิดเศรษฐี‌สงคราม ทางภาคเหนือเกลือหายากมากและ‌
แพงมากกว่าทอง ชาวไร่ชาวนาทุกข์ทรมาน‌อย่างสาหัส การเดินธุดงค์ไปหาว่าที่พระ‌อาจารย์ของท่านเต็มไปด้วยความลำบาก เป็น‌
พระที่ไม่มีสมบัติใดๆ ประชาชนก็ยากจนไม่มี‌อะไรจะใส่บาตร ต้องฉันผลไม้ป่าที่ลิงกินได้‌ประทังชีวิต

ความยากลำบากอันสาหัสครั้งนี้ทำให้ท่าน‌มีความเข้มแข็งอดทนและพากเพียร พยาม‌ยามที่จะไปกราบว่าที่พระอาจารย์ที่อยู่ ณ ‌
เชียงใหม่ให้ได้ กลางคืนก็หยุดพักทำสมาธิ เช้า‌ก็เดินบิณฑบาตจะได้หรือไม่ก็ตาม ก็ไม่เป็น‌อุปสรรคต่อความตั้งใจของท่าน

ในตอนกลางวัน ท่านเดินธุดงค์ไม่ยอม‌หยุดยั้ง เดินผ่านลัดป่าดงดิบไม่มีถนนหนทาง‌สะดวกสบายอย่างในปัจจุบัน

ตอนเดินผ่านหัวหินก็ไม่แวะบ้านไปเยี่ยมพี่น้อง เพราะใจจดจ่อต้องมุ่งหน้าไปพบว่าที่‌พระอาจารย์รูปนั้น ตามที่หลวงปู่ของท่านได้‌บอกไว้

ท่านเดินทางจากใต้ขึ้นเหนือ 3 เดือนเต็ม

คือ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม นั่นเองและแล้วพระบวชใหม่เพียงพรรษาเดียว ที่‌ตั้งใจบุกบั่น มุ่งมั่น ทรหดอดทน ตามหาว่าที่‌พระอาจารย์ ที่ไม่รู้จักชื่อ ไม่รู้จักหน้าตา มีแค่‌
รูปลักษณะ และเส้นทางการเดินทางจากที่‌หลวงปู่พระอาจารย์รูปแรกบอกไว้ ก็ได้มาถึง‌วัดที่มีศาลาเล็กๆ หลังหนึ่ง กุฏิก็ยังไม่แข็งแรง ‌
เป็นไม้ไผ่หลังคามุงแฝก พอหลบฝนหลบแดด‌เพื่อปฏิบัติธรรมเท่านั้น มีพระเณรไม่กี่รูป

ท่านก็เดินตรงไปที่ศาลา หาพระที่มี‌ลักษณะท่าทางอย่างที่หลวงปู่พระอาจารย์รูป‌แรกบอกไว้ เห็นท่านหนึ่งนั่งอยู่ตามลำพังบน‌
ศาลาโรงฉัน ลักษณะท่าทางเหมือนแบบไม่ผิด‌เพี้ยนเลย ซึ่งก็คือ “หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม” นั่น‌เอง จึงขึ้นไปกราบนมัสการและเรียนว่า ได้‌
เดินทางมาจากทางใต้ ตั้งใจจะมาฝากตัวเป็น‌ศิษย์ขอปฏิบัติธรรม

หลวงปู่ตื้อก็ถามทันทีว่า “ก่อนบวชเคยทำ‌อาชีพอะไรมาให้บอกไปตามจริง”

ท่านก็คิดไม่ตกว่าควรตอบแบบไหนดีหลวงปู่ตื้อชี้หน้าบอกว่า “ให้บอกมาไม่‌เช่นนั้นจะไม่รับเป็นศิษย์”

ท่านจึงตอบไปว่า “เป็นโจรครับ”

หลวงปู่ตื้อพูดว่า “การเป็นศิษย์ต้องมีข้อแม้”

ท่านก็ตอบตกลงก่อนโดยไม่รู้ว่าข้อแม้คือ‌อะไร หลวงปู่ตื้อให้ท่านจุดธูปปักบนกระถาง‌หน้าพระประธานบนศาลาโรงฉัน แล้วให้พูด‌
ตามว่า “จะบวชตลอดชีวิต ไม่ลาสิกขาบท”

ในขณะนั้น หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม พระป่า‌ที่โด่งดังในสายพระธรรมยุติกนิกาย เป็นลูก‌ศิษย์ของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ผู้ที่ได้ฉายาว่า‌
เป็นแม่ทัพธรรมอันยิ่งใหญ่ กำลังสร้างสำนัก‌สงฆ์ ซึ่งปัจจุบันคือ วัดป่าดาราภิรมย์ ต.ริมใต้ ‌อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ หลวงปู่ตื้อเป็นลูกศิษย์‌
ท่านหนึ่งที่หลวงปู่มั่นให้ความไว้วางใจ และให้‌ร่วมติดตามไปธุดงค์อยู่หลายปี หลวงปู่ตื้อเคย‌ปรารภกับสานุศิษย์ว่า “ใครอย่าไปดูถูกท่าน‌
ตื้อนะ ท่านตื้อเป็นพระเถระ” กิตติคุณของ‌หลวงปู่ตื้อนั้นมักกล่าวกันว่า เป็นคนพูดจาโผง‌ผาง ตรงไปตรงมา ไม่ชอบพูดอ้อมค้อม เกรง‌
อกเกรงใจใคร เป็นการตัดปัญหาให้สั้นเข้า

ท่านพระอาจารย์ประยุทธได้เป็นศิษย์ตาม‌หลวงปู่ตื้อ ออกธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพร‌อยู่เสมอ เว้นแต่เมื่อเวลาพากเพียรปฏิบัติจึง‌
จะแยกไปอยู่ห่างๆ แค่พอไปมาหาสู่กันได้ไม่‌ไกลนัก เมื่อมีปัญหาติดขัดในการปฏิบัติ ก็จะ‌มาเรียนถามหลวงปู่ให้ท่านอธิบายอยู่เสมอ

หลวงปู่ตื้อหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า

ครั้งหนึ่งพระเณรเข้ากุฏิกันเกือบหมดแล้ว ‌หลวงปู่สั่งให้เณรไปต้มน้ำกาใหญ่ เณรบอกว่า‌ไม่มีใครอยู่ฉันน้ำแล้ว หลวงปู่จะให้ต้มน้ำกา‌
ใหญ่ไปทำไม หลวงปู่บอกให้ต้มก็ต้มไปเถอะ ‌ต้มน้ำชงชาแล้ว หลวงปู่ให้เณรเอาถ้วยชามา‌เตรียมไว้ 50 ถ้วย

หลวงปู่บอกท่านพระอาจารย์ประยุทธว่า ‌คืนนี้จะมีญาติโยมมาจากกรุงเทพฯ

สักพักก็มีรถบัสมาจอดในบริเวณวัด ท่าน‌ให้นำน้ำชามาเลี้ยงญาติโยม ปรากฏว่าถ้วยชา‌ที่เตรียมไว้พอดีคนเลย ไม่ทราบท่านรู้ได้‌อย่างไร

อีกครั้งขณะที่ท่านกำลังนั่งคุยกับหลวงปู่‌และเณรท่านอื่นๆ หลวงปู่สั่งว่า “ตุ๊ไทย (หลวง‌
ปู่ชอบเรียกท่านอย่างนี้เสมอ) ไปสรงน้ำไวๆ” ‌ซึ่งปกติหลวงปู่ไม่เคยยุ่งกับการสรงน้ำ แต่‌คราวนี้หลวงปู่กลับมาเร่ง

พระอาจารย์ประยุทธก็ถามหลวงปู่ว่า ‌“หลวงปู่ให้กระผมไปสรงน้ำทำไม”

พระอาจารย์ประยุทธ ธัมมยุตโต ขุนโจรผู้เป็นพระอริยบุคคล (2)

 

หลวงปู่ตอบว่า “ให้ไปสรงก็ไปเถอะ เย็น‌นี้ 6 โมงเย็นจะมีโยมผู้ชายมานิมนต์ไปปัดรังควานให้ลูกชายที่ตกต้นลำไย แต่เด็ก
มันต้องตายแน่ไม่รอดดอก อยากจะให้ตุ๊ไทย‌ไปแทน”

พระอาจารย์ประยุทธก็ไปสรงน้ำ ยังไม่ทัน‌ครองผ้า โยมที่ว่าก็ขับรถปิกอัพเข้ามาในวัด รีบ‌
มากราบหลวงปู่นิมนต์ให้ไปปัดรังควานให้ลูก‌ชาย ท่านจึงไปแทนตามที่หลวงปู่บอกไว้

ท่านพระอาจารย์ได้รับการศึกษาอุบาย‌ธรรมอันเฉียบคมเป็นเวลา 3 ปีจากหลวงปู่ตื้อ ‌ท่านมีความเลื่อมใสในหลวงปู่ตื้อมาก

ต้องจากหลวงปู่ตื้อไปแสวงหาโมกขธรรมเอง

3 ปีที่ติดตามหลวงปู่ตื้อไปปฏิบัติธรรมตาม‌ที่ต่างๆ หลวงปู่ตื้อเห็นว่าท่านพระอาจารย์‌ประยุทธสามารถคุ้มครองเป็นที่พึ่งแก่ตนเอง‌
ได้ จึงให้ท่านออกธุดงค์ไปแสวงหาโมกขธรรม‌ตามใจชอบ

เนื่องจากท่านเป็นพระปฏิบัติที่ไม่ติดที่ มัก‌จะอยู่ที่ไหนได้ไม่นานก็ไปต่อ อันเป็นแบบฉบับ‌ของพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ท่านชอบ‌
ธุดงค์อยู่ตามป่า ตามถ้ำไปเรื่อยๆ ไปที่ไหนแล้ว‌ทำให้สมาธิเจริญก็อยู่หลายวันหน่อย ไม่‌เหมาะก็จะย้ายไปที่ใหม่ ปฏิปทาของท่านที่‌
สำคัญ คือ การงดอาหารบิณฑบาต โอกาสไหน‌ถ้าท่านเจริญเป็นที่สบายก็อดอาหารถึง 15 วัน ‌หรือ 1 เดือน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา

ระหว่างที่ท่านธุดงค์ในป่าเขาลำเนาไพรท่านได้นิมิตในสมาธิถึงถ้ำแห่งหนึ่งเพื่อจะไป‌อยู่สร้างบารมี ท่านเที่ยวธุดงค์อยู่อีก 3 ปี
จึงได้มาพบถ้ำในนิมิต ถ้ำแห่งนี้คือ “วัดถ้ำผาพุง” อ.สะพุง จ.เลย ในปัจจุบัน

เมื่อพบถ้ำท่านพระอาจารย์ได้ไปปักกลด‌อยู่ตรงพื้นที่ราบเชิงเขา ไม่มีมุ้งกันแดดกันฝน ‌บริเวณนั้นป่าไม้ยังสมบูรณ์ และมีการลักลอบ‌
ตัดไม้ การที่ท่านไปปักกลด ทำให้การลักลอบ‌ตัดไม้ไม่เป็นความลับต่อไป ผู้ลักลอบจึง‌พยายามขับไล่ท่านให้ออกจากสถานที่นั้นตั้ง‌
แต่วันแรก ท่านก็เฉยเสียและรู้ว่าเจ้าของโรง‌เลื่อยเป็นผู้อยู่เบื้องหลังที่ให้มาไล่ท่าน ท่าน‌ประกาศว่า ถ้าเจ้าของโรงเลื่อยไม่ออกไปจาก‌
ป่านี้ ท่านก็ไม่ไปเหมือนกัน เจ้าของโรงเลื่อย‌จึงใช้อิทธิพลไปข่มขู่ไม่ให้ชาวบ้านใส่บาตร‌ท่าน ท่านเคยอดมาก่อนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

เมื่อมีเด็กมาเลี้ยงวัว ท่านก็บอกใบ้ให้เด็กๆ ‌เก็บใบไม้ที่กินได้มาให้ท่านฉัน เพราะเป็นพระ‌จะพรากต้นไม้ไม่ได้ โดยเฉพาะพระฝ่ายธรรม‌
ยุติกนิกายยิ่งต้องเคร่งครัดมากในเรื่องนี้ อยู่มา ‌6 วันไม่มีใครมาใส่บาตร เช้าวันที่ 6 ท่านเลย‌ออกไปบิณฑบาต พบเด็กหญิงวัยรุ่นคนหนึ่ง‌
กำลังผ่าฝืนอยู่หน้าบ้าน

ท่านจึงถามว่า “ชาวบ้านแถวนี้เขาไม่ทำ‌บุญใส่บาตรกันหรือ”

เด็กเรียนท่านว่า “คนรุ่นพ่อแม่ถูกห้ามไม่‌ให้ใส่บาตร” แต่เด็กคนนี้ขอให้ท่านรอ แล้วไป‌เอาข้าวนึ่งในบ้านพร้อมกับปลาเล็กๆ 1 ตัว มา‌
ใส่บาตร เป็นอันว่าท่านได้ฉันในวันที่ 6

หลังจากนั้นเมื่อเด็กเห็นท่าน ก็ใส่บาตรทุก‌ครั้งและชวนให้เพื่อนๆ รุ่นเดียวกันมาใส่บาตร‌
ด้วย เวลาว่างก็ไปหาท่านที่กลด ท่านก็สอนให้‌เด็กเข้าใจถึงบาปบุญ และเน้นมากในเรื่อง‌ความกตัญญู

ท่านสอนเด็กเหล่านั้นว่า “พ่อแม่ก็เป็น‌พระองค์หนึ่ง ท่านเลี้ยงดูเรามา ต้องกตัญญู‌รู้คุณ อย่าทำให้ไม่สบายใจ เพราะจะเป็นบาป ‌
ต้องคอยปรนนิบัติเอาอกเอาใจท่าน ช่วยการ‌งาน อย่าให้ท่านบ่นว่าเอาได้” เด็กๆ เหล่านี้‌ก็ไปเล่าให้พ่อแม่ฟังว่าพระท่านสอนอย่างไร‌
บ้าง พ่อแม่รู้สึกพอใจที่ท่านสอนให้ลูกดี ก็เลย‌มาฟังด้วยตนเอง แล้วเกิดความเลื่อมใส พา‌กันมาใส่บาตร บางทีก็เอาอาหารมาถวายถึงที่‌
กลด เป็นอันว่าคำสั่งของเจ้าของโรงเลื่อยไม่‌เป็นผล

อยู่ถ้ำผาพุง จ.เลย 2 ปี

ท่านถามเด็กๆ ที่มาฟังเทศน์ว่า “อยากให้‌หลวงพ่ออยู่นานๆ ไหม”

เด็กๆ ก็บอกว่า “อยากให้อยู่นานๆ” ท่าน‌จึงบอกว่า ถ้าอยากให้อยู่ก็ต้องช่วยปลูกกุฏิให้‌หลวงพ่ออาศัย เพราะใกล้หน้าฝน ลำพังแค่‌
กลดคงบังฝนไม่ได้ เด็กๆ เหล่านี้ก็มาช่วยตัดไม้‌เกี่ยวหญ้าคามาปลูกกุฏิเล็กๆ ให้ท่าน

โอ่งขนาดใหญ่

ต่อมาก็มีผู้มีจิตศรัทธาปลูกศาลาโรงฉัน‌เล็กๆ ให้ และสร้างศาลาทรงไทยบนไหล่เขา ‌แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ โอ่งน้ำขนาดใหญ่ไว้เก็บ‌
น้ำฝน เวลาญาติโยมมากันมากๆ จะได้มีน้ำดื่ม ‌ท่านอาจารย์เคยเห็นที่ตลาดวังสะพุง มีร้าน‌ขายโอ่งขนาดใหญ่ที่ต้องการ ก็ไปขอซื้อ

เจ้าของร้านถามว่า “จะเอาโอ่งไปตั้งที่ไหน”"

ท่านตอบ “เอาไปไว้ในศาลาบนไหล่เขา”

เจ้าของร้านท้วงว่า “จะเอาโอ่งใหญ่ขนาด‌นี้ขึ้นไปได้อย่างไร”

ท่านตอบว่า “ถ้าอาตมาเอาขึ้นไปได้ จะ‌ถวายโอ่งให้หรือไม่ละ”

เจ้าของร้านก็ใจถึง “ถ้าท่านเอาขึ้นไปได้ ‌ไม่ไปตั้งที่พื้นที่ราบข้างล่าง ก็ยินดีถวาย”

เมื่อท่านตกลงกับเจ้าของร้านโอ่งได้ ก็กลับ‌มาหาเชือกและลูกรอกเตรียมเอาไว้ เมื่อร้าน‌ขนโอ่งมาถึงพื้นที่ราบ ท่านก็ใช้รอกขนโอ่งขึ้น‌
ไปจนสำเร็จ เจ้าของโอ่งก็ถวายโอ่งให้ท่านฟรี ‌มีผู้พบว่ามีโอ่งใหญ่ขนาดนี้ถึง 5 ใบ ตั้งเรียง‌รายที่ศาลาบนไหล่เขาวัดถ้ำผาพุง ท่านยังได้‌
พบอีกว่า สูงจากไหล่เขาขึ้นไปมีถ้ำใหญ่อัน‌สงบงดงาม ท่านจึงขึ้นไปทำความสะอาดถ้ำ‌และใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรม และรับแขกแทน‌ศาลาโรงฉันข้างล่าง

สร้างพระพุทธรูป

ภายในถ้ำที่ท่านค้นพบ ท่านเห็นว่าควร‌สร้างพระพุทธรูปไว้ในถ้ำเพื่อกราบไหว้บูชาเพราะเห็นว่าถ้ำนี้ทั้งกว้างทั้งสูง อากาศถ่ายเท‌
สะดวก มีแสงแดดส่องลงมาจากช่องด้านบนไม่อับชื้น เหมาะแก่ผู้แสวงบุญจะมาอาศัยบำเพ็ญเพียร

ท่านพระอาจารย์จึงเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ‌เยี่ยมเยียนน้องสาวที่มีฐานะดี ได้ปรารภถึง‌
การสร้างพระเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้คุณโยม‌มารดาและบิดา น้องสาวของท่านก็ยินดีสร้าง‌ถวาย เป็นพระที่งดงามด้วยพุทธลักษณะ

เจ้าของโรงเลื่อยที่เคยคิดขับไล่ท่าน ต่อมา‌ก็ได้เกิดศรัทธาเลื่อมใสและมาช่วยก่อสร้าง‌สำนักสงฆ์ให้มีลักษณะถาวรขึ้น มีพระและ‌
เณรมาอยู่ปฏิบัติธรรมด้วยหลายองค์ ชาวบ้าน‌ที่อยู่ในละแวกก็มีความเลื่อมใสมาทำบุญใส่‌บาตรมิได้ขาด

วัดถ้ำผาพุงเป็นสถานที่ตั้งในภูมิประเทศที่‌มีความเหมาะสม เหมาะอย่างยิ่งที่พระภิกษุ‌และผู้ปฏิบัติธรรมจะมาบำเพ็ญเพียร ถ้าได้รับ‌
การทำนุบำรุงรักษาเพียงสร้างกุฏิกรรมฐาน‌เล็กๆ ให้มากขึ้น ก็จะเป็นสถานอันร่มรื่นเย็น‌สงบ สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมต่อไป

หลวงปู่มั่นเคยปรารภว่า “ให้เร่งปฏิบัติเพราะต่อไปป่าจะหายากไม่มีที่ให้ปฏิบัติอีก‌แล้ว ฉะนั้นสำนักสงฆ์ที่มีอยู่ในป่า เราชาว‌
พุทธจะต้องช่วยกันรักษาไว้ทั้งสำนักสงฆ์และ‌ป่าให้คงอยู่ เพื่อเราจะได้เห็นพระอรหันต์อัน‌เป็นเนื้อนาบุญของเราตลอดกาลนาน”

เนื่องจากท่านพระอาจารย์ประยุทธ เป็น‌พระปฏิบัติที่ไม่ติดที่หรือเสนาสนะ และตั้งใน‌จะเดินธุดงค์เพื่อปฏิบัติธรรม หลังจากที่ท่าน‌
พระอาจารย์ประยุทธได้อยู่ที่วัดนี้ได้ 2 ปี จึง‌คิดมอบหมายให้มีผู้ดูแลวัดแทน

ขณะนั้นมีพระอาจารย์ประเวศน์มาปฏิบัติธรรมสมาธิกับท่าน จึงเป็นผู้ดูแลวัดต่อจากท่าน

อ่านต่อสัปดาห์หน้า

 

ข่าวล่าสุด

ป.ป.ส. ผนึก DEA สหรัฐฯ เตรียมจัดประชุม Regional IDEC 2026 ที่เชียงราย