ลำประโดงใครว่าไม่สำคัญ?
โดย...สุรจิต ชิรเวทย์ สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดสมุทรสงคราม
โดย...สุรจิต ชิรเวทย์ สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดสมุทรสงคราม
“ลำกระโดง” หรือ “ลำประโดง” พจนานุกรมเขียนแบบแรก แต่ลิ้นชาวบ้านจะออกเสียงแบบหลัง
ความหมายก็คือ ลำน้ำขนาดเล็กที่ไม่ใช่ลำน้ำธรรมชาติ แต่เป็นลำน้ำที่ผู้คนในบริเวณที่ราบลุ่มปากแม่น้ำขุดซอยเป็นโครงข่ายในบริเวณที่อิทธิพลน้ำขึ้นน้ำลงไปถึง บรรพชนของเราได้ใช้ภูมิปัญญาพิจารณาจนตกผลึกในวิธีการที่จะตั้งถิ่นฐานและอยู่ร่วมอย่างยั่งยืนกับระบบน้ำที่พิสดารแปรเปลี่ยนทุกๆ 6 ชั่วโมง ให้เชื่อมโยงกันหมด เพิ่มพื้นที่อาศัยให้น้ำและพาน้ำไปใช้ประโยชน์ได้ทั่วถึง
ความชาญฉลาดของบรรพชนของเราก็คือ จะสามารถอยู่ร่วมและใช้ประโยชน์อย่างสอดคล้องยั่งยืนได้อย่างไรในภูมิประเทศและระบบน้ำแบบนั้น โดยในฤดูน้ำหลากก็ต้องรับน้ำท่าที่หลากลงมาจากพื้นที่ตอนบนหรือน้ำเหนือ และในขณะเดียวกันก็ต้องรับน้ำทะเลที่จะมีปริมาณน้ำขึ้นน้ำลง หรือน้ำเกิดน้ำตาย ซึ่งเพิ่มระดับและปริมาณสูงขึ้นในฤดูเดียวกันด้วย และการคละเคล้าคลุกคลีกันของน้ำท่าหรือน้ำจืดกับน้ำทะเลหรือน้ำเค็ม ก็ก่อให้เกิดเป็นระบบนิเวศสามน้ำ จืดกร่อยเค็ม ที่ขยับขึ้น 6 ชั่วโมง ขยับลง 6 ชั่วโมง แล้วก็ขึ้นอีก 6 ชั่วโมง ลงอีก 6 ชั่วโมง อีกทั้งพื้นที่ที่จะตกอยู่ภายในแนวเขตน้ำจืดน้ำกร่อยน้ำเค็ม นี้ ยังไม่ใช่เขตพื้นที่ตายตัว ในหน้าแล้งอิทธิพลน้ำเค็มขยับลึกเข้าไปในแผ่นดิน (ช่วงหลังตรุษจีนไปถึงสิ้นเดือน เม.ย.โดยประมาณ) พอเข้าฤดูฝนแล้ว อิทธิพลน้ำเค็มก็จะค่อยๆ ถอยลงไปหาปากอ่าว
ปัญหาหลัก 2 ประการ ที่บรรพชนของเรา “คิดตก” จากการเฝ้าสังเกตการณ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเข้าใจฤดูกาลและอาการกิริยาของน้ำขึ้นน้ำลง ที่ไปสัมพันธ์กับดิถีของดวงจันทร์ที่แสดงอาการ “เดือนเพ็ญ” หรือ “เดือนดับ” หรือครึ่งดวง จนเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของฟ้าดิน และทะเล ตลอดไปถึงอาการกิริยาของสัตว์พืช เช่น กุ้งปู จะลอกคราบในช่วงน้ำตาย (ประมาณ 611 ค่ำ) ลิ้นจี่จะแตกใบอ่อน พ.ค.มิ.ย.ในรอบแรก และควรแตกใบอ่อนอีกรอบช่วง ก.ย.ต.ค. จึงจะสมบูรณ์และสะสมกำลังไว้มากพอที่จะแทงตาดอกให้ผลได้ ถ้าได้อุณหภูมิที่เหมาะสม คือต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส 1012 วัน ในช่วงเดือน ธ.ค. พร้อมกับจะมีกำลังในลำต้น ราก และกิ่งก้านสาขาที่แข็งแรงพอจะเลี้ยงดูผลและแบกน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นได้ และโดยพื้นเพดั้งเดิมเป็นไม้เขตหนาว จะบริหารน้ำอย่างไรให้ลิ้นจี่เข้าใจเหมือนเขาอยู่ในถิ่นเดิมของเขา ในจังหวะลีลาการเพิ่มลดปริมาณน้ำ
ชาวสวนจะพูดกัน สื่อสารกันกับผลไม้ในสวนของเขาอย่างไร ต้องกำกับดูแลการแสดงอาการกิริยาของน้ำ เพื่อสื่อสารกับต้นไม้ผลไม้ของเขาอย่างไร ไม่เพียงลิ้นจี่ ชมพู่ มังคุด มะไฟ ลำไย ทุเรียน มะม่วง ในพื้นที่น้ำจืด
ในขณะที่พื้นที่ในเขตอิทธิพลน้ำกร่อย พืชอะไรที่อยู่ร่วมหรือทนได้ เพราะพื้นที่น้ำกร่อยในหน้าแล้งก็จะมีความเค็มเพิ่มขึ้น ส้มโอ มะพร้าว กุ้งก้ามกราม หรือปลากระบอก พืชสองน้ำ สัตว์สองน้ำ จะสามารถอยู่ร่วมและมีอาการกิริยาอย่างไร ตามลีลาและฤดูกาลของน้ำ ในความเป็นเมืองท้ายน้ำ เมืองปากแม่น้ำมาเก่าแก่ ซึ่งย่อมมีการติดต่อค้าขายกับต่างแดนต่างถิ่นมากกับหัวเมืองปักษ์ใต้กับชาวชวามาเลย์กับชาวจีน
นักโบราณคดี นักมานุษยวิทยา เชื่อว่า ชาวจีนตอนใต้ที่เดินทางมาสู่สยามได้นำหลักคิดแบบวิธีในการทำการเกษตรแบบยกร่องปลูกผักมาสู่พื้นที่บริเวณเมืองปากแม่น้ำ เช่น บางช้างสวนนอก และบางกอกสวนใน แล้วก็มีพัฒนาการคลุกเคล้ากับการปลูกพืชพื้นถิ่น เกิดเป็นชุดภูมิปัญญาในการผสมผสานหลอมรวม ทั้งรูปแบบวิธีการในการตั้งถิ่นฐานและวัฒนธรรมในการจัดรูปที่ดินสวนเป็น “ขนัด” รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีลำประโดงล้อมและภายในทำดินยกร่อง จึงจะสอดคล้องลงตัวกับระบบนิเวศสามน้ำที่ทั้งระบบตกอยู่ภายใต้อิทธิพลน้ำขึ้นน้ำลง แก้ปัญหาได้ทั้งสองทิศทางในการอยู่ร่วมกับน้ำหลากและน้ำขึ้นน้ำลง อันเป็นระบบนิเวศท้ายน้ำ ระบบนิเวศปากแม่น้ำ (Estuary)
นี่คือการตกผลึกของภูมิปัญญาของบรรพชน ที่ได้สร้างบ้านแปลงเมืองให้สอดคล้องกับกายภาพของแผ่นดินคือ “ภูมินิเวศ” ผสานกับอาการกิริยาของน้ำทั้งสาม จืดกร่อยเค็ม และวัฒนธรรมในการประกอบอาชีพให้สอดคล้องกับอิทธิพลของน้ำจืดกร่อยเค็ม คือ ทำนาเกลือ ปลูกป่าโกงกาง เผาถ่าน และทำนากุ้ง ในเขตอิทธิพลน้ำเค็ม ทำสวนมะพร้าวน้ำตาล มะพร้าวผล ในเขตอิทธิพลน้ำกร่อย ทำสวนผลไม้ ในเขตอิทธิพลน้ำจืด หรืออาจมีน้ำกร่อยบ้าง และทำนาข้าว ในเขตอิทธิพลน้ำจืด
ทั้งหมดนี้ต้องซอยลำน้ำย่อยให้มากที่เป็นลำน้ำที่มนุษย์ทำขึ้น เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันทั้งน้ำหลากและน้ำขึ้นน้ำลง รวมทั้งการปลูกบ้านใต้ถุนสูง อีกทั้งการซอยเครือข่ายลำน้ำ ยังทำให้น้ำขึ้นน้ำลง พาเอาแร่ธาตุ ตะกอน สารอาหาร เข้าสู่พื้นที่การเกษตรนั้น รวมทั้งสัตว์น้ำ รวมเป็นความมั่นคงทางอาหาร นี่คือความลงตัวของ “ภูมิวัฒนธรรม” ทำให้เมืองแม่กลองมีคลองเกือบ 400 คลอง และมีแพรก ลำราง ลำประโดงหลายพันสาย
นี่ก็คือความชาญฉลาดของบรรพชน คือ ภูมิปัญญาของบรรพชนที่ได้ทำให้การตั้งถิ่นฐานและการประกอบอาชีพลงตัว สามารถอยู่ร่วมอย่างสอดคล้อง และใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ทำให้ทั้งสามารถอยู่รอดและอยู่เย็นเป็นสุขได้ในภูมิประเทศแบบนี้ สิ่งที่เป็นภัยคุกคามต่อความลงตัวและความยั่งยืนนี้ก็คือ โครงสร้างทางวิศวกรรมแบบแข็งกระด้าง และไม่สอดคล้องต่างๆ ที่เพิ่มขยายมากขึ้นในพื้นที่ในนามของ “การพัฒนา” โดยขาดความเข้าใจในการประยุกต์ให้สอดคล้องกับกายภาพแบบนี้ จากการวางแผนจากส่วนกลาง การทำถนนทับลำน้ำ การสร้างสะพานเสมอถนน ท้องสะพานเตี้ยตอม่อชิด ในพื้นที่ที่มีน้ำขึ้นน้ำลงต่างระดับ 2-3 เมตร ค่อยๆ ทำลายการขนส่งทางน้ำ การสัญจรทางน้ำ ความป่วยไข้ของโครงข่ายลำน้ำ การถมที่ถมดิน ขัดขวางทางน้ำไหล ทำให้ที่อยู่อาศัยของน้ำหายไปเรื่อยๆ เท่ากับการกวักมือเรียกน้ำท่วมใส่พื้นที่ที่เคยมีความยืดหยุ่นอ่อนตัวสูง
การไม่เข้าใจข้อกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมาย การละเลยละเว้นด้วยความไม่เข้าใจ หรือเลยเถิดไปถึงการฉ้อฉล เหล่านี้กำลังทำลายศักยภาพความสามารถของพื้นที่ในการอยู่ร่วมกับน้ำอย่างชาญฉลาด อันจะนำมาซึ่งความไม่มั่นคงยั่งยืนและคุณภาพชีวิตอันเป็นที่มาของปัญหามากมายที่จะตามมาในปัจจุบันและอนาคต
ลำน้ำเล็กๆ ในชื่อต่างๆ คือ ลำกระโดง หรือ ลำประโดง แพรก ลำราง ซึ่งเปรียบเสมือนเส้นเลือดฝอย ทุกๆ ลำน้ำที่ถูกถมทับ ถูกทำให้ตายไปเรื่อยๆ เริ่มส่งผลกระทบให้เห็นถึงความอ่อนไหวต่อภาวะน้ำท่วมขัง การเพิ่มค่าใช้จ่ายทั้งส่วนตัวและส่วนรวม ในการถมที่ปลูกสร้างอาคาร ถมเพิ่มความสูงถนน ในขณะที่ปล่อยให้ลำน้ำต่างๆ ตื้นเขิน ลดขีดความสามารถในการรับน้ำจะไปสิ้นสุดลงที่ไหน เราฉลาดหรือโง่กว่าบรรพชนของเรา
ชุมชนท้องถิ่นของเรายังมีความสามารถเรียนรู้ สามารถผสมผสานวิถีชีวิต ภูมิปัญญาดั้งเดิมกับวิถีชีวิตในปัจจุบันได้อย่างไรบ้าง นี่เป็นธุระของเราทุกคน ไม่ใช่ธุระของคนอื่น


