เห็นหน้าต้องร้องอ๋อ ... นักแสดงหนังโฆษณาเนื้อหอม
โดย...อนันเดียร์
โดย...อนันเดียร์
เคยไหม?
นอนดูโทรทัศน์แล้ว จู่ๆ ก็หัวเราะลั่นบ้านอย่างควบคุมไม่ได้ หลังจากชมภาพยนตร์โฆษณาสุดฮา จนอดใจไม่ไหวต้องบอกใครต่อใคร กลายเป็นกระแสทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ กระฉ่อนไปทั้งเมือง
ไม่ว่าจะเป็นเพราะเนื้อหาโดนใจ ฝีมือเฉียบขาดของทีมผู้กำกับ ไอเดียจากมันสมองของครีเอทีฟหัวใส หรือเพราะความแข็งแกร่งของแบรนด์สินค้าที่มีอยู่แล้วแต่เดิมก็ตามเหอะ
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ ว่าหากขาดพรีเซนเตอร์ที่คอยทำหน้าที่ดึงดูดความสนใจแล้ว สินค้าตัวนั้นอาจไม่โด่งดังเป็นที่รู้จักครึกโครมอย่างที่เห็นแน่ๆ
ไม่ต้องหล่อเวอร์ ขอมีคาแรกเตอร์เป็นใช้ได้
เชื่อหรือไม่ ความหล่อความสวยอาจไม่ใช่คำตอบเสมอไปแล้วก็ได้ในยุคนี้
“สมัยก่อน เวลาเราดูทีวีก็จะเห็นแต่โฆษณาสินค้าที่มีแต่ดาราดัง หนุ่มสาวหน้าตาหล่อๆ สวยๆ มาเป็นพรีเซนเตอร์ แต่เดี๋ยวนี้หน้าตาบ้านๆ อย่างผมก็เป็นได้ ขอแค่มีคาแรกเตอร์โดนๆ”
เป็นคำกล่าวติดตลกของ ปริเยศ อังกูรกิตติ หรือดีเจเยส แห่งคลื่นเอฟเอ็ม 88.5 ลูกทุ่งไทยแลนด์ และนักแสดงสมทบจากซิตคอมเรื่องหมู่บ้านสำราญรักทางช่อง 7 สี
หลายคนคงคุ้นหน้าคุ้นตาเขาคนนี้ดี ในบทบาทหนุ่มหน้าจืด ท่าทางติ๊งต๊อง ผู้หมายมั่นที่จะขอสาวคนรักแต่งงานในร้านอาหารท่ามกลางสภาพแวดล้อมและอุปสรรคแสนบัดซบนานัปการ จากภาพยนตร์โฆษณาสุดฮา ชุดบัตรกดเงินสด ยูเมะ พลัส
จนถึงวันนี้เขาผ่านผลงานหนังโฆษณามาแล้วกว่า 15 เรื่อง ภายในระยะเวลาเพียง 4 ปี
“พวกดาราดังๆ ก็ยังได้รับความนิยมสำหรับสินค้าบางชิ้นที่ลูกค้าต้องการพรีเซนเตอร์ที่เป็นไอดอล อย่าง ณเดชน์ ตูน บอดี้สแลม โดม หรือพวกหล่อขั้นเทพ สวยราวนางฟ้า หน้าตาลูกครึ่ง ก็ยังจำเป็นในโฆษณาประเภทผลิตภัณฑ์ความสวยความงาม เส้นผม ผิวพรรณ แต่พวกหน้าตาหล่อสวยปานกลางนี่หมดสิทธิครับ”
“ต้องให้เครดิตกับพี่ต่อธนญชัย ศรศรีวิชัย แห่งบริษัท ฟีโนมิน่า ผมถือว่าเขาเป็นผู้บุกเบิกหนังโฆษณา ที่ใช้พรีเซนเตอร์ที่ไม่ใช่คนดัง ไม่เน้นหล่อ สวย แต่เน้นขายความฮาจากคาแรกเตอร์นักแสดงที่บุคลิกหน้าตาบ้านๆ หลายคนจับพลัดจับผลูเดินเข้ามาแบบงงๆ ก็มี บางคนเพื่อนชวนมาแคสติงแล้วบังเอิญได้ มันอยู่ที่คาแรกเตอร์เฉพาะตัวของแต่ละคน คาแรกเตอร์ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง หน้าเถื่อนๆ ฟันเหยิน หรือจะเป็นพวกหน้าจืด ดูซื่อบื้อเหมือนผม ก็มีสิทธิได้งาน (หัวเราะ) ถ้าคาแรกเตอร์เราไปโดนใจผู้กำกับ ไปโดนใจลูกค้า ที่สำคัญต้องหน้าไม่ช้ำ ผู้ชมต้องไม่เห็นว่าไอ้หมอนี่ออกทีวีบ่อยเป็นใช้ได้” นักแสดงหนุ่มอารมณ์ดีให้ความเห็น
ค่าตัวกระฉูดตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักล้าน
สำหรับเรื่องค่าตัว ปริเยศ เปิดเผยว่า มีตั้งแต่ระดับหลักร้อยบาทไปจนถึงหลักล้านบาท ซึ่งระดับของนักแสดงภาพยนตร์โฆษณาจะแตกต่างกันออกไปไม่เหมือนกัน
“นักแสดงภาพยนตร์โฆษณา มีตั้งแต่ตัวประกอบฉากทั่วไปเรียกว่า เอกซ์ตรา ที่เห็นนั่งๆ ยืนๆ เดินไปเดินมานั่นแหละ รับเงินเป็นรายวัน ต่อมาคือ เอกซ์ตรา เมน ตัวประกอบที่มีบทบาทขึ้นมาหน่อย มาทำให้เนื้อเรื่องสมบูรณ์ มีบทพูดบ้าง และตัวเมน ตัวละครหลักสำคัญของเรื่องคงคล้ายๆ กับพระเอก นางเอก แล้วก็พวกเซเลบ หมายถึงนายแบบ นางแบบ ดารา นักร้องชื่อดัง คนมีชื่อเสียงที่มารับงานเป็นพรีเซนเตอร์
พวกเอกซ์ตราก็จะรับค่าตัวเป็นรายวัน หรือจ่ายตอนถ่ายจบ ส่วนพวกเอกซ์ตรา เมน หรือตัวเมนก็จะรับเป็นค่าคิว กำหนดว่าทำงานที่ชั่วโมง ได้ค่าเหนื่อยรวมแล้วเท่าไหร่ บวกกับค่าสัญญาที่เซ็นไว้กับตัวผลิตภัณฑ์ว่าลงในสิ่งพิมพ์ ออนแอร์ในทีวี ลงอินเทอร์เน็ตในระยะเวลากี่เดือนจะได้ค่าตอบแทนเท่าไหร่ ก็อยู่ราวๆ หลักหมื่นบาทจนถึงหลักแสนบาทกลางๆ แต่พวกที่ได้ค่าตัวสูงๆ คือพวกเซเลบกับพวกพรีเซนเตอร์สินค้าประเภทความสวยความงาม ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับแบรนด์สินค้านั้นๆ ด้วยว่าโด่งดังแค่ไหน”
รวมดารา...นักแสดงหนังโฆษณาเนื้อหอม
ยังมีอีกหลายคนที่เรียกได้ว่าช่วงหนึ่งถือเป็นดาราเนื้อหอมแห่งวงการหนังโฆษณา อย่าง สายเชีย วงศ์วิโรจน์ ขาโหดที่ใครๆ ก็ต้องร้องอ๋อยามได้ยลโฉม เคยเป็นทั้งสตันต์แมน ตัวประกอบฉาก นักแสดงสมทบ ก่อนมาแจ้งเกิดระเบิดเถิดเทิงในโฆษณา สสส.ชุด จนเครียด กินเหล้า อันลือลั่น ส่งผลให้งานเข้ามาวิ่งชนเพียบ ดังถึงขั้นพี่เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ ชวนไปเล่นมิวสิกวิดีโอ เพลง อกมีไว้หัก เลยทีเดียว หรืออย่างสาวอวบน่ารักอย่าง มุก-ปิยะกานต์ บุตรประเสริฐ ที่แจ้งเกิดจากบทพี่อ้อย ในโฆษณาสมูท อี จนคนจำหน้าได้ทั้งบ้านทั้งเมือง
เช่นเดียวกับ นิมิตร ลักษมีพงศ์ หรือดีเจบ็อบบี้ นักจัดรายการวิทยุชื่อดัง ผู้กำกับภาพยนตร์ และนักแสดงมากฝีมือ ก็เป็นคนหน้าคุ้นอีกคนในโฆษณาทางโทรทัศน์ช่วงหนึ่ง งานสร้างชื่อคือ บัตรสมาร์ทเพิร์ส (รับบทหนุ่มดวงซวย ที่เกิดท้องเสียแล้วไปซื้อทิชชู ให้ธนบัตรใบละ 1,000 และพนักงานขายเป็นอาม่า)
เขาบอกว่า หลังจากถ่ายงานไปหลายชิ้น ก็รู้สึกได้ด้วยตัวเองว่าหน้าเริ่มช้ำ
“คือมีงาน 3-4 เรื่องในช่วงเวลาที่ค่อนข้างติดต่อกัน หรือซ้อนกันด้วย ทั้งๆ ที่ปฏิเสธที่จะไปแคสเยอะกว่างานที่ไปแคส เพราะบางบทก็ซ้ำกับสิ่งที่เราเคยเล่นผ่านมาแล้ว แต่ก็มีบางครั้งไม่รู้จะปฏิเสธยังไง เพราะกลัวคนมองว่าเราหยิ่ง ก็จะใช้วิธีการเรียกค่าตัวแพงๆ ซึ่งก็ได้ผลครับ แต่ถ้าเป็นบทที่อยากเล่นมากๆ ก็แทบไม่เรียกร้องอะไรเลย ผมว่าอยู่ที่ความพึงพอใจของเรากับงานนั้นๆ มากกว่า ยึดหลักว่าอะไรที่เราสนุกกับมัน”
บ๊อบบี้ยอมรับว่า เหตุที่ได้รับแต่บทตลก เป็นเพราะคนดูมักติดอะไรที่มันรั่วๆ
“อย่างเช่น เรื่องทิชชู ตอนเล่นเราก็ไม่ได้คิดว่าต้องเล่นให้ตลก แต่ว่าเราปวดท้องจริงๆ ขี้จะแตกจริงๆ หรือโฆษณาคอนโดมิเนียมธนพัฒน์ เราก็โกหกจริงๆ ตีหน้าตายจริงๆ แต่ด้วยความจริงจังของเราทำให้คนขำ
แต่บางครั้งการที่คนมองว่าเราเล่นอะไรแต่ตลกๆ ก็มีผลกับงานอย่างอื่นที่เราอยากทำและคิดว่าทำได้เหมือนกัน อย่างเช่น เคยไปแคสงานชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับเงินด่วนแล้วต้องเล่นดรามา แล้วช่วงที่แคสเราก็เล่นดรามา แต่ด้วยความที่เขาติดกับภาพเดิมของเรา ลูกค้าก็นั่งขำ คือมันก็เป็นผลเสียกับการที่จะไปรับงานอะไรที่จริงจังมากขึ้น ก็แย่เหมือนกัน”
ส่วนปราโมทย์ เทียนชัยเกิดศิลป์ หรือโมทย์ สาระแน เจ้าของสารรูปเหมือนจะหล่ออันเป็นเอกลักษณ์ ผู้โด่งดังจากโฆษณาแว่น ท็อปเจริญ ชุดไฮโซ รวมถึงตัวประกอบภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง บอกว่าตัวเขาเองมักได้รับบทคนธรรมดาๆ เดินถนนทั่วไป ในโฆษณาสินค้าจำพวกลูกอม ขนม ประกัน แว่นตา เครื่องดื่ม ฯลฯ ซึ่งวางขายตามซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านชำทั่วไป ที่ชาวบ้านร้านตลาดสัมผัสได้
“มันเป็นทางของผมแล้วล่ะครับ ไม่ว่าจะหนังโฆษณาหรือหนังใหญ่ ก็มักจะได้รับแต่บทของชายหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์ ที่คิดว่าตัวเองหล่อ มีความมั่นใจอย่างสูงว่าตัวเองดูดี เท่ สมาร์ต ทั้งๆ ที่สารรูปตัวเองดูไม่ได้ (หัวเราะ) หนังโฆษณาสมัยนี้สั้นกระชับ รวดเร็ว มันเลยต้องแบบว่าปัง ปัง ปัง เอาฮาเข้าว่าเพราะตลก คนดูเลยเข้าใจง่าย และที่สำคัญจำได้แม่น”
จำหน้าได้ แต่ไม่รู้จัก
ทั้งสามหนุ่มดีเจเยส บ๊อบบี้ และโมทย์ บอกคล้ายกันว่า สถานะของพวกเขาเป็นไปในแบบ “คนจำได้ แต่ไม่รู้จัก”
“มีเยอะครับ พวกเด็กแนว เด็กแว้น วัยรุ่น จะชอบเข้ามาทักว่าชอบพี่ว่ะ พี่แม่งฮาดี บางคนก็จะชี้ๆ มองๆ ด้วยความสงสัย แต่หากไปตามสถานบันเทิงที่เที่ยวกลางคืนนี่จะมาขอถ่ายรูปเลยนะครับ เราก็ยิ้มๆ ปลื้มใจเหมือนกัน” โมทย์ กล่าว
ขณะที่ดีเจเยส บอกว่า ยิ่งช่วงโฆษณาออกอากาศ เดินไปตามท้องถนน มีแต่คนมองจนเป็นสายตาเดียว
“แต่มองแบบว่าเฮ้ย คนนี้นี่หว่า ที่เล่นโฆษณา ... แล้วก็จำได้แค่นั้น (หัวเราะ) คือคนจะจำเราได้นะครับ แต่ไม่รู้จักเรา เพราะเราไม่ใช่ดารา”
งานโฆษณาก็ไม่จีรังยั่งยืน วันใดอาการของโรคหน้าช้ำมาเยือนก็เป็นอันว่าจบ ฉะนั้นหลายต่อหลายคนจึงวางแผนที่จะใช้ชื่อเสียงและโอกาสทองของตัวเองในช่วงที่งานไหลมาเทมา ต่อยอดกรุยทางเข้าไปสู่วงการบันเทิงอย่างเต็มตัว ไม่ว่าจะเล่นละคร เล่นหนัง จัดรายการวิทยุ เป็นพิธีกร
เพื่อให้ตัวเองมีโอกาสโลดแล่นโชว์ฝีมืออยู่ในแสงสปอตไลต์ต่อไปนานๆ


