คำอธิบายของวลีที่ว่า ‘เงินงอกงาม เพื่อธรรมงอกเงย’ (ตอนที่ 2)
การหาเงิน เก็บเงิน ใช้เงินไม่เป็น การตกเป็นทาสของเงินด้วยความเขลา อันเป็นที่มาของความเดือดร้อนในชีวิต
โดย...ว.วชิรเมธี
การหาเงิน เก็บเงิน ใช้เงินไม่เป็น การตกเป็นทาสของเงินด้วยความเขลา อันเป็นที่มาของความเดือดร้อนในชีวิต อย่างนี้แหละท่านจึงกล่าวว่า “เงิน คือ อสรพิษ” เพราะมันย้อนมาขบกัดชีวิตของผู้ครอบครองไดอย่างหนักหนาสาหัส
ในคัมภีร์พระธรรมบทมีเรื่องเล่าที่แสดงว่า “เงิน คือ อสรพิษ” ดังต่อไปนี้
“ชาวนาคนนั้นไถนาอยู่แห่งหนึ่ง ไม่ไกลกรุงสาวัตถี คืนนั้นพวกโจรหมู่หนึ่งขโมยทรัพย์ของตระกูลมั่งคั่งตระกูลหนึ่ง ได้ทรัพย์มาก ได้แบ่งทรัพย์กันที่นาของชาวนาคนนั้น (เวลากลางคืน) บังเอิญถุงเงินถุงหนึ่งตกอยู่ รุ่งเช้าชาวนาไปไถนาตามปกติ ไม่เห็นถุงเงินนั้น
เช้าวันนั้น พระตถาคตเจ้าแผ่ข่ายพระญาณไปตรวจดูหมู่สัตว์ที่พระองค์ควรโปรด ได้เห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปัติมรรคของชาวนานั้นและเหตุทั้งปวงอันจักเกิดขึ้นแก่ชาวนา พระองค์ทรงเห็นว่าไม่มีใครอื่นที่จะเป็นพยานของชาวนาได้ นอกจากพระองค์ จึงมีพระอานนท์เป็นปัจฉาสมณะเสด็จไปยังที่นั้น
ชาวนาเห็นพระศาสดาแล้วมาถวายบังคม แล้วไปไถนาอย่างเดิม พระศาสดาเสด็จไปที่ถุงเงิน ตรัสกับพระอานนท์ว่า
“อานนท์ เธอเห็นอสรพิษนั่นหรือไม่?”
“เห็นพระเจ้าข้า อสรพิษร้าย” พระอานนท์ทูลตอบ
พระศาสดาตรัสเพียงเท่านี้แล้วหลีกไป ชาวนาได้ยินเสียงนั้นจึงคิดว่า “ที่นี้ เราไปมาอยู่เสมอทั้งกลางวัน กลางคืน อสรพิษจักเป็นอันตรายแก่เรา” ดังนี้แล้ว ถือด้ามปฏักไปหมายจะตีงู เห็นถุงทรัพย์บรรจุทรัพย์ไว้พันหนึ่ง ดีใจว่าพระศาสดาตรัสบอกทรัพย์ให้โดยนัย จึงถือเอาทรัพย์นั้นไป เอาฝุ่นกลบไว้แล้วไถนาต่อไป
เจ้าของทรัพย์ตื่นขึ้นเวลาเช้า เห็นว่าทรัพย์หายไป จึงชวนกันเดินตามรอยเท้าของโจร เห็นรอยเท้ามาหยุดที่นาของชาวนาคนนั้น และมีร่องรอยการแบ่งทรัพย์กัน เห็นรอยเท้าของชาวนา จึงเดินตามรอยเท้าไป เห็นรอยเท้าไปหยุดอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง มีรอยขุดคุ้ยดิน เอาฝุ่นกลบไว้ จึงคุ้ยฝุ่นดูก็เห็นถุงทรัพย์ พวกเขาโบยตีชาวนาด้วยท่อนไม้ แล้วนำตัวไปแสดงแด่พระราชาในฐานะขโมยทรัพย์เป็นอันมาก
พระราชาทรงสดับเรื่องราวโดยตลอดเวลา รับสั่งให้ประหารชีวิตชาวนานั้นเสีย
พวกราชบุรุษมัดชาวนานั้นไพล่หลัง เฆี่ยนด้วยหวาย นำไปสู่ที่ประหาร ชาวนากล่าวอยู่อย่างเดียวว่า
“อานนท์ เห็นอสรพิษนั่นไหม?”
“เห็นพระเจ้าข้า อสรพิษร้าย”
พวกราชบุรุษสงสัยในคำของเขา จึงถามว่า เหตุไรจึงกล่าวคำของพระศาสดาและพระอานนท์ เขาบอกว่า ต้องได้เฝ้าพระราชาเสียก่อนแล้วจักบอก พวกราชบุรุษนำเขาไปเฝ้าพระราชา เมื่อพระราชาตรัสถาม จึงทูลเล่าเรื่องทั้งปวงถวาย พระราชาทรงดำริว่า “ชาวนานี้อ้างพระศาสดาและพระอานนท์เป็นพยาน น่าจะมีเหตุอะไรสักอย่างหนึ่ง” ดังนี้แล้วให้พักการลงโทษชาวนาไว้ก่อน ทรงพาเขาไปเฝ้าพระศาสดาในเวลาเย็น ทูลถามเรื่องราวต่างๆ พระศาสดาตรัสตอบตรงตามที่ชาวนาเล่าถวายทุกประการ
พระราชาตรัสว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หากชาวนานี้ไม่อ้างพระองค์คงตายไปแล้ว แต่เพราะเขากล่าวคำที่พระองค์ตรัสกับพระอานนท์ครั้งแล้วครั้งเล่า เขาจึงได้ชีวิตรอดมา”
พระศาสดามีพระประสงค์จะเทศนาโปรดทั้งพระราชาและชาวนา จึงตรัสว่า
“มหาบพิตร อาตมภาพกล่าวคำเพียงเท่านั้นแล้วหลีกไป มหาบพิตร กรรมใดทำแล้วเดือดร้อนภายหลัง บัณฑิตย่อมไม่ทำกรรมนั้น” ดังนี้แล้วตรัสพระคาถาความว่า
“บุคคลทำกรรมใดแล้ว ต้องเดือดร้อนภายหลัง” เป็นอาทิ มีนัยดังพรรณนามาแล้วแต่ต้น
นี่คือที่มาและความหมายของคำว่า “เงิน คือ อสรพิษ”
การหาเงิน เก็บเงิน ใช้เงิน วางท่าทีต่อเงินอย่างไม่ถูกต้อง เงินจะกลายเป็นอสรพิษมาขบกัดชีวิตได้ทุกเมื่อ ในมุมมองของพุทธศาสนา ท่านจึงสอนว่า ต้องรู้จักหาเงิน เก็บเงิน และใช้เงินอย่างมีสติ อย่างมีปัญญา อย่าให้เงินย้อนกลับมากัดเจ้าของจนต้องมีชีวิตด้วยความเดือดร้อนวุ่นวายทุกข์ตรมขมไหม้เหมือนอยู่ในนรก หลักการตรงนี้ขอเขียนให้จำกันง่ายๆ ว่า
“สตางค์ที่ใช้อย่างปราศจากสติ จะกลายเป็นศัตรู”


