ขุมทรัพย์ร้อยล้าน...บัวขาวป.ประมุข
เส้นทางกว่าจะเป็น "แบล็กโกลด์"
โดย...ราชันเบอร์ 23
เส้นทางกว่าจะเป็น "แบล็กโกลด์"
ย้อนกลับไปสมัยที่ บัวขาว ป.ประมุข หรือชื่อจริงว่า สมบัติ บัญชาเมฆ อายุได้แค่ 8 ขวบ แม่ของเขาได้พาเดินทางจากบ้านเกิด จ.สุรินทร์ ไปฝากไว้กับ “กำนันแก๊” ประมุข โรจนตัณฑ์ เจ้าของค่ายมวย ป.ประมุข และแม่ก็เสียชีวิตในเวลาต่อมา บัวขาวก็ฝึกหัดต่อยมวยอยู่ที่ค่าย ป. ประมุข ตั้งแต่นั้นมา หลังจากนั้นก็เริ่มขึ้นชกมวยไทยและคว้าแชมป์มาประดับตู้โชว์ ไล่ตั้งแต่ แชมป์เวทีมวยสยามอ้อมน้อย รุ่นเฟเธอร์เวต แชมป์ประเทศไทยรุ่นเฟเธอร์เวต และแชมป์ที่เวทีมวยสยามอ้อมน้อยอีกครั้ง ในรุ่นไลต์เวต ปี 2545 บัวขาว ชนะเลิศมวยไทยมาราธอน โตโยต้า รุ่น 140 ปอนด์ ที่สนามมวยลุมพินี
ฟอร์มการชกเข้าตาแมวมองอย่าง ซูซูกิ (ชื่อคล้ายยี่ห้อรถมอเตอร์ไซค์) โปรโมเตอร์จัดมวยชาวญี่ปุ่น จึงพา บัวขาว ไปขึ้นสังเวียนชก เควัน (K-One) ซึ่งญี่ปุ่นเป็นผู้ริเริ่มจัดขึ้นมา โดย เควัน เป็นการรวมศิลปะการต่อสู้อย่าง คิกบ๊อกซิง คาราเต้ รวมถึงมวยไทยเข้าไว้ด้วยกัน
ซึ่งถือว่าเป็นจุดกำเนิด ทำให้ยอดมวยจาก จ.สุรินทร์ ดังเปรี้ยงปร้างเพียงแค่ชั่วข้ามคืนจากทัวร์นาเมนต์นี้ และนั่นเป็นที่มาของรายได้มหาศาลรออยู่ข้างหน้า
ยอมรับว่ารายได้ของนักมวยไทยสมัยนี้ดีมาก เมื่อเทียบกับสมัยก่อน หากเป็นคู่เอก หมายถึงจะมีรายได้การชกต่อไฟต์ไม่ต่ำกว่าเลขหกหลัก หรือภาษามวยเรียกว่า “มวยเงินแสน” ซึ่งปัจจุบันมีนักมวยที่เข้าข่ายนี้เพียงไม่กี่คน เช่น แสนชัย ส.คิงสตาร์ ยอดมวยไทยที่ดีที่สุดใน พ.ศ.นี้ หากเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ น้องโอ๋ ศิษย์ อ., สามเอ. ไก่ย่างห้าดาว รวมถึง บัวขาว ป.ประมุข ด้วย
ค่าชกแต่ละไฟต์ของ บัวขาว ตกราวไฟต์ละ 1.2-1.5 ล้านบาท ไม่รวมเงินรางวัลชนะเลิศ ซึ่งเท่าที่ผ่านมา บัวขาว จะชกต่างประเทศราว 5 ไฟต์ต่อปีเท่านั้น เพราะมวยไทยชก 5 ยก ย่อมใช้พละกำลังและเรี่ยวแรงมหาศาล เท่ากับว่าชกหนึ่งครั้งจะต้องหยุดพัก 23 เดือน รอให้ร่างกายและกล้ามเนื้อปรับสภาพ ถึงจะชกใหม่ได้ เพราะฉะนั้นแต่ละปีเต็มที่แล้วก็ต่อยไม่เกิน 5 ไฟต์ นั่นหมายถึงจะได้เงินราวปีละ 6 ล้านบาท ไม่รวมค่าตัวจากการโชว์ตัวรวมถึงเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณา ซึ่งไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนบาท
เริ่มนับจากปี 2547 ที่ บัวขาว เข้าแข่งชก เค-วัน ครั้งแรก จนถึงปีที่แล้ว บัวขาวมีรายได้จากการชกมวยเค-วัน และเดินสายโชว์ตัวงานต่างๆ ไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท และหาก บัวขาว ยังรักษาสภาพร่างกายได้ดี น่าจะชกได้อีก 23 ปี รายได้ต้องแตะ 100 ล้านบาทอย่างแน่นอน
พ.ศ. 2547 บัวขาว ชนะเลิศรายการ เควัน เวิลด์ แมกซ์ 2004 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยชนะ จอห์น เวย์น พาร์ นักมวยไทยชาวออสเตรเลีย พร้อมรับเงินรางวัล 12 ล้านบาท ถือว่าเป็นเงินมหาศาล และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทั้งคนไทยและต่างชาติต่างรู้จัก บัวขาว มากขึ้น แน่นอนว่าชื่อเสียงและเงินทองเวลานั้นต่างถาโถมเข้ามาหา และต่างชาติพากันรู้จักบัวขาวในนาม “แบล็กโกลด์” หรือ “ดำดอตดอม”
พ.ศ. 2549 บัวขาว เข้าชิงชนะเลิศรายการ เค-วัน เวิลด์แมกซ์ ได้ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 และเป็นแชมป์ได้อีกครั้ง โดยเป็นนักมวยคนแรกในรายการนี้ที่สามารถชนะเลิศ 2 สมัย พร้อมรับเงินรางวัลถึง 10 ล้านบาท
พ.ศ. 2550 บัวขาวเข้าแข่งขันรายการ เค-วัน เวิลด์แมกซ์ ในวันที่ 28 มิ.ย. 2550 บัวขาวสามารถผ่านเข้ารอบ 8 คนสุดท้าย โดยชนะคะแนน Nieky “The Natural” Holtzken นักชกชาวฮอลแลนด์ แต่ก็จอดป้ายเพียงแค่รอบนั้น สาเหตุการพ่ายแพ้มาจากมีการปรับเปลี่ยนกติกา เพราะเห็นว่ามวยไทยมีพิษสงหลายด้าน ทำให้ออกกฎห้ามใช้ศอกและเข่า ทำให้บัวขาวเกิดอาการไม่ได้ออกอาวุธถนัด ทำให้ตกรอบ เป็นที่น่าเสียใจของแฟนหมัดมวยชาวไทย
พ.ศ. 2551 บัวขาว เข้าแข่งขันรายการ เค-วัน เวิลด์แมกซ์ โดย บัวขาว แพ้น็อกให้กับ โยชิฮิโร ซาโตะ นักมวยชาวญี่ปุ่น แฟนมวยบางส่วนกังขาว่ามีการล้มมวยหรือไม่ แต่พิจารณาแล้วพบว่า บัวขาว แพ้น็อกจริงๆ ด้วยเข่าของ ซาโตะ ทำให้จุกและโดนหมัดฮุกเข้ากกหูสลบคาเวที เป็นความเสียใจของคนไทยครั้งหนึ่ง
พ.ศ. 2552 บัวขาว เข้าแข่งขันรายการ เค-วัน เวิลด์แมกซ์ โดยคราวนี้สามารถเข้าถึงรอบ 4 คนสุดท้าย แต่ต้องมาแพ้คะแนนให้ แอนดี ซาวเวอร์ คู่ปรับเก่าอย่างน่ากังขาอีกหน บัวขาวถึงกับออกมาให้สัมภาษณ์ว่าอยากให้กรรมการชี้แจงผลการตัดสิน แฟนมวยเค-วันต่างพากันเห็นใจบัวขาว โดยมีหลักฐานคือผลโหวตนักสู้เค-วันแม็กซ์ของปีนี้ บัวขาวได้เป็นอันดับ 2 ด้อยกว่าแค่ จอร์จิโอ เปโตรเซียน แชมเปียนรายการเค-วันปีนี้เท่านั้น
พ.ศ. 2553 ฝ่ายจัดการแข่งขันเควันของญี่ปุ่นประสบปัญหาการขาดทุน ทำให้ต้องยกเลิกการจัด และพอดีกับที่สัญญาของ บัวขาว หมดลงพอดี ทำให้สามารถไปต่อยโชว์ตัวที่ยุโรปได้
ใน พ.ศ. 2554 บัวขาวได้เข้าแข่งขันในรายการไทยไฟต์ โดยเขาเป็นฝ่ายชนะน็อก ไมเคิล พิซิเทโล ซึ่งเป็นนักมวยไทยชาวฝรั่งเศส ในรอบรองชนะเลิศ และเข้ารอบชิงชนะเลิศไปเจอกับ แฟรงก์ จอร์จี จากออสเตรเลีย ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า วันที่ 18 ธ.ค.ปีเดียวกัน ซึ่งบัวขาวเป็นฝ่ายชนะและคว้าแชมป์ไปครอง
ส่วนปีนี้มวยไทยไฟต์ 2012 มีการชกรอบซูเปอร์ไฟต์ หรือรอบโชว์ตัวประกบคู่ วันที่ 17 เม.ย.นี้ ที่พัทยา อาจจะไม่มี “แชมป์เก่า” บัวขาว เป็นตัวยืนในพิกัดรุ่น 70 กก. ค่อนข้างแน่ เช่นเดียวกับ “เข้ม ศิษย์สองพี่น้อง” แชมป์เก่ารุ่น 67 กก.ปีเดียวกัน เพราะมีข่าวลือว่าคงจะถอนตัวจากรายการนี้เช่นกัน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่าผู้หลักผู้ใหญ่วงการมวยจะเป็นกาวใจให้ บัวขาว ได้หรือไม่???
ไม่เช่นนั้น แฟนมวยชาวไทยคงพูดคำเดียวว่า “เสียดาย”


